การจัดลำดับออกตัวเวลาแข่งรถเค้าดูจากอะไร มาสนามช้าเหรอ?

เวลาดูแข่งรถใครที่รู้สึกไม่ยุติธรรมทุกครั้ง เวลาคนที่เราเชียร์ไปอยู่ข้างหลัง รถตั้งเยอะจะแซงไปหมดได้ยังไง ส่วนคันหน้าก็พอปล่อยปุ๊บก็พุ่งไปปุ๊บไม่มีใครขวาง อย่างนี้คันหลังสุดก็เหนื่อยสิ แล้วจะทำยังไง หรือควรโทรไปปลุกพี่เค้าให้มาสนามเร็ว ๆ หน่อยจะได้ออกตัวหน้า ๆ จะมานอนตื่นสายตอนชิงแชมป์แบบนี้ไม่ได้นะ ใครที่รู้สึกแบบนี้ก็ขอบอกไว้เลยว่า เรื่องนี้มีที่มาที่ไป ทุกอย่างมีความยุติธรรม มาดูกฎระเบียบเรื่องนี้กัน

รูปแบบการจัดลำดับการออกตัว

การจัดลำดับการออกตัวหรือที่เรียกว่า Pole position นั่นแตกต่างกันไปตามรูปแบบการแข่งขันแต่ละรายการ อย่างรายการฟอร์มูล่า วัน แต่ละสนามทุกทีมจะได้รับโอกาสลองสนามให้คุ้นชินในวันศุกร์ เรียกว่า Friday practice จากนั้นวันเสาร์ ทุกทีมจะได้รับโอกาสได้ใส่เดี่ยว ซึ่งหมายถึงให้วิ่งในสนามตั้งแต่จุดสตาร์ทถึงเส้นชัยและเก็บเวลาที่ทำได้ไว้เทียบกับทีมอื่น ๆ เรียกว่า Qualify ใครที่ทำเวลาดีที่สุดจะได้อยู่หน้าสุดใน Sunday racing คนทำเวลาได้รองลงมาก็อยู่ลำดับถัดไป ใครช้าก็รั้งท้าย ตื่นก่อนตื่นหลังไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้

ที่ว่ามาคือการแข่งรถที่อยู่ประเภทเดียวกันสมรรถนะไม่ต่างกัน แต่บางครั้งในการแข่งสนามเดียวกันก็จะมีรถที่ต่างสมรรถนะกัน และรางวัลไม่แยกรุ่น รถที่สมรรถนะด้อยกว่าจะได้ไปอยู่ข้างหน้า เรียกว่า Handy cap หรือต่อให้น้องนั่นแหล่ะ แต่ถ้าสมรรถนะต่างกันและแยกประเภทรางวัลรถที่แรงกว่าจะได้สตาร์ทก่อน หรือบางรายการรถที่ทำเวลาสนามก่อนได้ดีกว่า มีคะแนนสะสมดีกว่า ก็จะได้อยู่หน้าไปเลยไม่ต้อง Qualify หรือบางรายการเช่น WTCC เวิลด์ทัวริ่งคาร์แชมเปี้ยนชิพ รถที่ชนะสนามก่อนจะได้ไปอยู่หลัง แถมเพิ่มน้ำหนักให้อีก งงป่ะล่ะ

แต่อย่างไรก็ตาม จะอยู่หน้าอยู่หลังก็ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่กำหนดชัยชนะ บางครั้งอยู่หน้ากดคันเร่งนำก่อนเป็นกิโลแต่อยู่ ๆ ยางแตกกว่าจะลากตัวเองเข้าพิทได้ก็ตกไปอยู่ท้ายซะแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องให้เห็นเป็นประจำ หรืออยู่หลังสุด บ๊วยสุด แต่วันนี้ผีเข้ากดซ้ายแซงขวาผ่ามาทุกรอบ ก็ขึ้นที่หนึ่งได้เช่นกัน เพราะการแข่งรถจะชนะได้ไม่ใช่แค่ขับเก่งอย่างเดียว รถ ทีมงานช่าง การวางแผน ก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญทั้งหมด คนขับเก่งแต่รถไปไม่ไหวก็แพ้ รถดีแต่คนขับไม่พร้อมก็ลงข้างทาง รถดีคนขับดีแต่วางแผนเข้าพิทไม่ดีก็เหนื่อย หรือรถดี คนขับดี วางแผนมาอย่างเยี่ยมยอดแต่เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ ชนกันหรืออะไรก็ตามมันมีผลต่อชัยชนะทั้งนั้น แบบนี้หากคุณเป็นผู้ชมที่ชอบการวางเดิมพันด้วย ยิ่งต้องศึกษาดูฟอร์มทุกทีม ไม่เลือกเฉพาะตัวท็อปหรือผู้ชนะก่อนหน้านี้เท่านั้น

พร้อมที่สุดดีที่สุด ที่เหลือก็คือวาสนา                

แต่ที่พูดมาถ้าบอกว่าเตรียมพร้อมแค่ไหนถ้าซวยก็ไม่ชนะ งั้นไปทำบุญเอาแล้วกันไม่ต้องเตรียม มันก็ไม่ใช่อีก ทางที่ดีที่สุดคือพร้อมทุกด้านกำจัดปัจจัยที่จะพ่ายแพ้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ บางทีการเลือกหลวงพ่อที่จะไปบนก็เป็นหนึ่งในเช็คลิสต์ที่ต้องทำ

NASCAR วิ่งวนวนเป็นวงรี มันสนุกตรงไหนเนี่ย

ลองนึกภาพตัวเองนั่งอยู่ในรถดัดแปลงที่มีแต่ที่นั่ง เครื่องยนต์ โครงเหล็ก และแผ่นไฟเบอร์ที่ครอบตัวรถเพื่อให้ดูรูปร่างว่ามันเป็นรถ วิ่งด้วยพลังสองร้อยแรงม้า ความเร็วเฉลี่ย 300 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง วิ่งวนบนถนนเป็นวงรีพร้อมรถคู่แข่งที่แรงพอ ๆ กัน เป็นระยะทาง 500 ไมล์ พลาดสติหลุดเพียงนิดเดียวมีสิทธิ์ลอยไปฟาดผนังจนรถกระจุยกระจายได้ทุกเสี้ยววินาที ลองคิดดูแล้วกันว่าการเป็นนักแข่ง NASCAR ต้องคลั่งแค่ไหนถึงจะลงมาแข่งอะไรประเภทนี้ได้ คนดูในสนามยิ่งคลั่งมากกว่า เพราะสามารถได้เห็นไหวพริบนักแข่งที่ช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงวินาที ได้เห็นรถลายกราฟฟิกสวย ๆ มาประลองกัน ขณะเดียวกันก็มีสิทธิได้เห็นรถเหล่านั้นชนกันวินาศสันตะโร มันช่างสร้างความมันดีแท้

ความเป็นมาและกฎกติกาสุดมึน

บิล แฟรนซ์ ซีเนียร์ หรือ บิ๊กบิล ผู้ก่อตั้ง เขาและภรรยาย้ายมาเปิดอู่ซ่อมรถที่ฟลอริด้า ซึ่งสมัยนั้นมีพวกคลั่งแต่งรถมาประชันความเร็วกันทุกสัปดาห์ที่หาดเดโทน่า เขาเฝ้ามองการแข่งรถและความคลั่งไคล้ความเร็วของผู้คน เขาตั้งปณิธานไว้ว่าจะต้องจัดการแข่งรถที่ยิ่งใหญ่ขึ้นที่นี่ให้ได้ และหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขาจึงรวมกลุ่มสมาคมแข่งรถทั่วประเทศ มาจัดตั้ง National Association for Stock Car Auto Racing หรือ NASCAR และจัดการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้

ซึ่งกฎการแข่งขันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาจนปัจจุบัน คนจะดูการแข่งให้รู้เรื่องควรจะเข้าใจกฎกติกาก่อน ซึ่งการแข่งขันแต่ละสนามจะแต่งต่างกันไป เช่น เดโทน่า 500 แปลว่าสนามนี้จะแข่งกัน 500 ไมล์ ใครวิ่งครบก่อนเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งเมื่อเอาระยะทางที่ต้องวิ่งมาหารด้วยระยะรอบของสนาม ก็จะได้จำนวนรอบที่ต้องแข่ง จากนั้นจะแบ่งเป็นสามสเตจ

สเตจแรกกับสเตจที่สองวิ่ง 25 % และที่เหลือจะวิ่งในสเตจที่สาม สเตจที่ 1 และ 2 จะให้คะแนนอันดับที่ 1 – 10 และสเตจที่ 3 จะให้คะแนนอันดับที่ 1 – 40 เมื่อวิ่งจบสเตจก็จะมีธงเหลืองให้พักแต่ไม่หยุดวิ่ง ใครจะเข้าพิทก็ตามใจแต่จะเสียอันดับ อันนี้ก็แล้วแต่แผนการของแต่ละทีม เมื่อผ่านไป 26 สนาม จะตัด 16 คนที่คะแนนมากที่สุดเข้ารอบเพลย์ออฟ แต่ที่เหลือจะยังแข่งอยู่ได้เพื่อเก็บคะแนนสะสม จากนั้นทุก ๆ สามสนามจะตัดออกทีละ 4 คน จนเหลือ 4 คนสุดท้ายมาแข่งในสนามสุดท้าย สนามที่ 36 หาแชมป์คว้ารางวัล 1 ล้านดอลล่า

กีฬาอเมริกันชนคือความสุดโต่ง

สำหรับกีฬาของชาวอเมริกันบางอย่างมันก็สวนทางกับความเข้าใจของแฟนกีฬาประเทศอื่น ไม่ว่าจะอเมริกันฟุตบอล เบสบอล หรือ NASCAR บางครั้งมันก็เข้าใจยากสำหรับคนอื่น ๆ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นอเมริกันมันต้องสุดอยู่แล้วทั้งจำนวนผู้ชม สปอนเซอร์หรือความคลั่งไคล้ ถ้าอยากจะเข้าใจจริงบางทีอาจจะต้องศึกษาและค่อย ๆ ซึมซับให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เราอาจจะได้เข้าใจว่ารสชาติความมันแบบอเมริกันมันเป็นยังไง

4 เหตุผลที่ผู้หญิงต้องลองเป็นนักแข่งรถสักครั้งในชีวิต

ผู้หญิงกับการขับรถแข่ง…หากพูดไปผู้หญิงเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์คงส่ายหน้า ไม่กล้าบ้าง ห่วงสวยบ้าง กลัวเกิดอุบัติเหตุบ้าง แต่เชื่อหรือไม่ว่าการเป็นนักขับรถแข่งนั้นมีความน่าสนใจมาก และหากคุณพอจะมีทุนทรัพย์อยู่บ้างก็ควรลองเป็นนักขับรถแข่ง เพื่อเติมเต็มชีวิตของตัวเองให้สุดมันมากกว่าเดิม เหตุผลใดบ้างที่มาสนับสนุนว่าผู้หญิงควรลองเป็นนักแข่งรถสักครั้งหนึ่งในชีวิต  การเป็นนักขับรถแข่งมีเสน่ห์อย่างไร ทำไมนักแข่งรถเพศหญิงจึงได้หลงใหลกีฬารถแข่งนัก อยากรู้ต้องมาดูกัน

1.เติมเต็มประสบการณ์ชีวิต

สิ่งแรกที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของการลองขับรถแข่งก็คือ ช่วยเติมเต็มประสบการณ์ชีวิตของคุณให้เต็มขึ้นมาได้ คุณเคยหรือไม่กับการเบื่อชีวิตอันแสนซ้ำซากจำเจของตัวเอง ใช้ชีวิตแบบเดิมไปในทุก ๆ วัน หากได้เปลี่ยนชีวิตบทใหม่ เปลี่ยนฉากชีวิตเดิม ๆ เติมความตื่นเต้นให้กับชีวิตของตัวเอง

2.เพิ่มสมาธิมากกว่าเดิม

การขับรถแข่งในสนาม ถือเป็นการสร้างสมาธิให้กับตัวเองได้มากทีเดียว เพราะในห้วงยามที่เรากำลังจดจ่อกับเส้นทางที่ต้องมุ่งไปด้วยความเร็วสูง สิ่งที่จะตามติดมาคู่กันก็คือสมาธิที่ต้องสูงยิ่งกว่าความเร็วของรถ เพราะหากว่าพลาดไปนิดเดียวอาจจะเกิดอันตรายได้ การขับรถแข่งจึงเป็นการสร้างสมาธิสำหรับหญิงสาวที่อยากฝึกสมาธิ อยากจดจ่อกับอะไรสักอย่างนั่นเอง

3.เสริมสร้างความมั่นใจให้กับตัวคุณเอง

สิ่งหนึ่งที่การขับรถแข่งจะมอบให้กับคุณผู้หญิงได้ก็คือความมั่นใจในตัวเองที่มากกว่าเดิม แต่หากว่าคุณได้ลองมาขับรถแข่ง สิ่งที่จะได้ไปแน่นอนคือการเชื่อว่าตัวเองสามารถทำอะไรที่ยาก ๆ ได้ แม้แต่การขับรถแข่งที่ถือว่าเป็นกีฬาของหนุ่ม ๆ คุณก็ผ่านมาแล้ว เรื่องอื่น ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป สาว ๆ คนไหนที่เป็นคนไม่กล้าคิดกล้าทำ ไม่มั่นใจในตัวเอง ลองไปขับรถแข่งแล้วคุณจะรู้ว่าไม่มีอะไรอีกแล้วที่คุณจะผ่านมันไปไม่ได้

4.ลืมความทุกข์ใจไปได้

หากคุณมีเรื่องเครียด เรื่องกังวลกับอะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปอย่างที่ใจหวัง ลองไปขับรถแข่งดูสักครั้ง คุณจะพบว่าการขับรถทำให้คุณลืมสิ่งที่ตึงเครียดในชีวิตไปได้ บางคนอกหัก รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไร้ความหมาย การขับรถแข่งจะทำให้คุณรู้สึกว่าชีวิตคุณมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น คุณมีศักยภาพที่จะทำอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ได้

นี่ก็เป็นข้อดีของการลองขับรถแข่งสักครั้งในชีวิตลูกผู้หญิง หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่อยากเติมเต็มประสบการณ์ให้ตัวเอง อยากลองทำอะไรใหม่ ๆ และคิดว่าการขับรถแข่งไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ลองก้าวข้ามสิ่งที่เรียกว่า “ความกลัว” ออกไปใช้ชีวิตดังที่ใจปรารถนา แล้วคุณจะค้นพบความสุขในรูปแบบใหม่ ความตื่นเต้น ความมีอิสระ สิ่งเหล่านี้คุณจะพบได้กับการขับรถแข่งอย่างแน่นอน สัมผัสมิติใหม่ของการขับรถแบบที่คุณไม่เคยพานพบ แล้วคุณจะติดใจ

ข้อดีของการชมกีฬารถแข่ง

กีฬารถแข่งเป็นกีฬาที่คนไทยหลายคนไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไรนัก เพราะคิดว่าไม่มีความสนุก แข่งกันไปมามีแต่ความน่าหวาดเสียว แต่เชื่อเถอะว่าเป็นกีฬา ก็ต้องมีความสนุกอย่างแน่นอน หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่อยากเปิดใจให้กีฬารถแข่ง อยากลองดูว่ามีความสนุกแค่ไหน วันนี้เรามีข้อดีของการชมกีฬารถแข่งมาฝากคุณแล้ว

1.ได้ความสนุกตื่นเต้น สิ่งแรกที่คนดูจะได้จากกีฬารถแข่งก็คือความสนุกตื่นเต้น ซึ่งแน่นอนว่าความสนุกตื่นเต้นเป็นวินาทีแรกตั้งแต่สตาร์ทเครื่องกันเลยทีเดียว รถแข่งที่คุณเชียร์ไปถึงจุดไหนแล้ว คุณจะติดตามอย่างไม่คลาดสายตาอย่างแน่นอน หากอยู่ในจังหวะที่กำลังจะแซงคู่แข่งแล้วล่ะก็ เรียกได้ว่าลุ้นจนนั่งไม่ติดเบาะ และเชื่อได้เลยว่าบางทีอาจจะไม่กล้ากระพริบตาและไม่กล้าหายใจเลยทีเดียว

2.ได้รู้จักการแต่งรถแบบใหม่ ๆ สำหรับคนที่ชอบดูรถแข่ง เชื่อได้เลยว่าในชีวิตจริงย่อมชื่นชอบการแต่งรถกันแน่นอน ข้อดีหากว่าคุณเป็นคนชอบแต่งรถอยู่แล้ว คุณจะได้เห็นรถในสนามแข่งที่แต่งกันประชันแบบไม่มีใครยอมใครก็ว่าได้ และคนดูก็จะได้ไอเดียมาแต่งรถเพิ่มความสวยงามให้กับรถของเรามากกว่าเดิม

3.ได้เห็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของรถแข่ง เนื่องจากว่าเป็นรถแข่ง สิ่งที่ค่ายรถต่างก็แข่งขันกันก็คือ พยายามมองหาและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เทคโนโลยีใหม่ ๆ ของรถเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพมากที่สุดในการเข้าสู่สนาม ซึ่งหากว่าคนดูสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ นอกจากจะดูในการแข่งขันแล้ว ก็ยังสามารถซื้อหนังสือเกี่ยวกับรถแข่งมาอ่านเพิ่มเติม เป็นการเสริมความรู้ของตัวเองมากขึ้นไปอีกหนึ่งระดับเลยทีเดียว

4.ก่อให้เกิดสมาธิ ไม่ใช่เฉพาะนักแข่งรถเท่านั้นที่ต้องมีสมาธิในการแข่งขันแค่เพียงอย่างเดียว คนดูเองก็ต้องมีสมาธิและมีใจที่จดจ่อในระหว่างที่เรานั้นดูการแข่งขันด้วย หากละสายตาไปเมื่อไร อาจจะพบว่ารถที่เราเชียร์นั้นไปไกลแล้วก็ได้ ใครที่รู้สึกว่าตนเองเป็นคนสมาธิสั้นนั้นก็อยากแนะนำว่าให้ลองหันมาชมกีฬารถแข่งกันบ้าง ไม่แน่ว่าหากดูจนติดเป็นนิสัย อาจจะกลายเป็นคนที่มีสมาธิมากเลยก็เป็นได้

5.รายได้เสริมจากการแข่งขันรถ แม้ว่าตัวคุณเองอาจจะไม่ใช่นักแข่ง แต่ก็สามารถมีรายได้เสริมง่าย ๆ ผ่านการวางเดิมพันในกีฬาแข่งรถ ซึ่งในปัจจุบันมีการเปิดให้เลือกเดิมพันได้ผ่านเว็บ กฎ กติกาต่าง ๆ ก็เข้าใจได้ง่าย มีโอกาสชนะการเดิมพันสูง แถมยังมีการถ่ายทอดสดหรือรายงานผลต่าง ๆ แบบละเอียดผ่านเว็บไซต์อีกด้วย

และนี่ก็คือข้อดีของการชมกีฬาแข่งรถ ขึ้นชื่อว่าเป็นกีฬา ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็มีประโยชน์ทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่กีฬารถแข่งที่หลาย ๆ คนมองว่ามีอันตราย แต่หากพิจารณาดูแล้วทั้งในแง่ของคนเล่นและคนแข่งก็มีประโยชน์มากเลยทีเดียว ที่สำคัญการแข่งรถทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ของรถมากยิ่งขึ้น ทำให้มีการพัฒนาก้าวไกลเพื่อตอบสนองการขี่รถแข่งในสนามนั่นเอง อยากเปิดโลกใหม่เกี่ยวกับกีฬาแข่งรถ ลองชมการถ่ายทอดสดกีฬาแข่งรถสักครั้งแล้วคุณจะติดใจอย่างแน่นอนเลยทีเดียว

3 บทเรียนของ BMW จากการแข่งขัน The Mexico City E-Prix

เริ่มทยอยเปิดสนามแข่งกันไปแล้วกับสังเวียนมอเตอร์สปอร์ต 2019 ที่หลายทีมก็เริ่มลงไปลองลงแข่งเพื่อทำการเทสรถค่ายของตัวเองกันมาบ้างแล้ว รวมถึง  BMW I Andretti Motosport ที่ได้ลงแข่งขันในฤดูกาลแรกของ ABB FIA Formular E Championship ซึ่งทางวิศวกรของทีม ก็ได้ออกมายอมรับและ เปิดเผยว่า ในการลงสนามแข่งครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมอีกทั้งยังทำให้ทีม BMW ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนารถแข่ง BMW iFE.18 ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้มีความพร้อมสำหรับการลงแข่งใน

นัดต่อไป วันนี้เราจึงได้นำ 3 บทเรียนที่ทีม BMW I Andretti Motosport ได้เรียนรู้จากสนามแข่ง The Mexico City E-Prix มาฝากกัน

อุณหภูมิยางรถ

                อุณหภูมิของยางรถแข่งเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ในฤดูกาลแรกนี้อุณหภูมิของยางรถ BMW iFE.18 กลายเป็นปัญหาของที่วิศวกร BMW I Andretti Motosport ต้องขบคิดและหาทางแก้กันอย่างหนักเนื่องจากเลย์เอาท์ของสนามรูปแบบพิเศษในสนามแข่ง Mexico City  นั้น เป็นสนามแข่งแบบถาวร ยางมะตอยในสนามจึงมีอุณหภูมิสูงขึ้นเมื่อมีความร้อนมากขึ้น ส่งผลให้ยางล้อหลังด้านซ้ายของรถแข่ง BMW มีอุณหภูมิสูง ขึ้นตามไปด้วย

ลำดับของนักแข่ง

                การจัดลำดับก่อนหลังของนักแข่งมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเข้าเส้นชัย ซึ่งจากประสบการณ์ในสนามแรกที่ผ่านมาพบว่าการจัดอันดับของนักแข่งของกลุ่ม 1 และกลุ่ม 2 ยังไม่สามารถทำเวลาได้เร็วพอที่จะสามารถคว้าชัยชนะจากการแข่งขันได้ อีกทั้งในช่วงกลางของการแข่งขันนักแข่งยังเกิดอุบัติเหตุแต่ยังโชคดีที่รถกระเด็นออกไปทางด้านหลังของสนาม และยังโชคดีที่เป็นอุบัติเหตุในช่วงกลางของการแข่งขันซึ่งก่อให้เกิดอันตรายได้น้อยกว่าช่วงเริ่มต้นของการแข่งขันมาก

การจัดการพลังงาน

                ดังสุภาษิตของการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตที่ว่า “To finish first, you first to finish” ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนในการแข่งขัน The Mexico City E-Prix เนื่องจากรถแข่งจำนวนมากสูญเสียพลังงานไปอย่างมากในรอบสุดท้าย แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับทีม BMW ที่ต้องยกความดีความชอบในเรื่องของความแม่นยำในการจัดการพลังงานให้กับทีมวิศวกร ที่ทำการคำนวณพลังงานอย่างละเอียดในทุกเปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ BMW iFE.18 สามารถจัดการพลังงานได้อย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพและสมบูรณ์แบบ ถือเป็นสิ่งที่ทีม BMW ทำได้ดีมากในการแข่งขันฤดูกาลแรกนี้

                ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่าทีม BMW จะสามารถนำประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ไปปรับปรุงและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในสนามต่อ ๆ ไปได้หรือไม่อย่างไร ซึ่งนอกจากทีม BMW I Andretti Motosport แล้ว ยังเชื่อว่าในการลงสนามแข่งนัดแรก ๆ ของฤดูกาลปี 2019 จะเป็นบททดสอบของรถแข่งจากค่ายและทีมอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน 

Sebastian Vettel แชมป์โลก 4 สมัยจากทีม Ferrari

สำหรับการแข่งขัน F1 ฤดูกาลปี 2019 นี้แน่นอนว่าชื่อของ Sebastian Vettel อดีตแชมป์โลก 4 สมัยย่อมอยู่ในลิสต์รายชื่อนักแข่งทีม Ferrari เป็นแน่ และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับทัวร์นาเมนต์ระดับโลกที่กำลังจะมาถึง วันนี้เราจึงได้นำเอาประวัติที่น่าสนใจของนักแข่งระดับโลกคนนี้มาฝากกัน

ประวัติความเป็นมาและจุดเริ่มต้นการเป็นนักแข่ง

                Sebastian Vettel เป็นนักแข่งรถชาวเยอรมันที่ไต่เต้ามาตั้งแต่การแข่งขันในระดับเยาวชน โดยเริ่มแข่งโกคาร์ทสมัครเล่นตั้งแต่ตอนที่มีอายุได้เพียง 3 ขวบและเข้าสู่การแข่งโกคาร์ทระดับซีรีย์ในปี 1995 เมื่อตอนที่มีอายุได้แค่ 8 ขวบ ต่อมาเขาก็ได้เข้าไปเป็นสมาชิกของทีม RedBull Junior ตั้งแต่เมื่อมีอายุได้ 11 ปี สามารถสร้างผลงานในระดับเยาวชนได้อย่างยอดเยี่ยม ได้รับรางวัล German Formular BMW Championship ปี 2004 ด้วยการชัยชนะ 18 รายการจากการแข่งขัน 20 ครั้ง ทำให้ Vettelเป็นนักแข่งอายุน้อยที่เริ่มมาจากระดับเยาวชนจนกลายเป็นนักแข่งที่ประสบความสำเร็จระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว

ผลงานในสนาม F1   

                Sebastian Vettel เริ่มเข้าสู่วงการแข่งรถ F1 โดยการเข้าร่วมเป็นนักแข่งเพื่อทำการทดสอบรถ BMW Sauber และได้เปิดตัวเป็นนักขับให้กับทีมเป็นครั้งแรกในการแข่งขันสนาม United Grand Prix เมื่อปี 2007 โดยในครั้งนั้นเขาเป็นนักแข่งที่ถูกเปลี่ยนเพื่อขับแทน Robert Kubica ที่ได้รับบาดเจ็บในระหว่างการแข่งขัน หลังจากนั้นในการแข่งขัน Season เดียวกันเขาก็ได้เป็นนักขับร่วมกับ Toro Rosso สังกัดทีม RedBull และได้ร่วมทีมจนถึงปี 2008 ซึ่งปีเดียวกันนี้เองที่เขาได้สร้างสถิติเป็นนักขับร่วมที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะการแข่งขันสนาม Italian Grand Prix 2008 ในขณะที่เขามีอายุได้เพียง 21 ปี

                Vettel สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในสนาม F1 และเป็นนักแข่งรถสูตร 1 ที่อายุน้อยที่สุดในโลกที่สามารถคว้าแชมป์ F1 ไปได้ในขณะที่มีอายุเพียงแค่ 23 ปี จนได้รับรางวัล World Driver’s Championship อีกทั้งยังสามารถคว้าแชมป์โลกไปได้ถึง 4 สมัยอย่างต่อเนื่องให้กับทีม Redbull ในฤดูกาลปี 2010 – 2013 ก่อนที่จะออกจากทีม RedBull ในปี 2015 เพื่อมาเซ็นต์สัญญากับทีม Ferrari              

                ปัจจุบัน Sebastian Vettel อายุ 30 ปี ได้ชื่อว่าเป็นนักแข่งรถสูตร 1 ที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ นอกจากสถิติการเป็นแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดแล้ว เขายังถูกจัดอยู่ในอันดับ 3 ของนักแข่งที่เข้าเส้นชัยเป็นอันดับแรกในทุกสนาม และยังคงเซ็นต์สัญญากับทางเฟอรรารี่ไปจนถึงสิ้นปี 2020 สำหรับในปี 2019 นี้เขาจะทำผลงานได้ดีแค่ไหนแฟน ๆ ก็ต้องติดตามกันดู

รถแข่งที่คาดว่าจะทำความเร็วได้ดีขึ้นจากกฎใหม่ของ F1 2019

สืบเนื่องจากการปรับปรุงกฎการแข่งขันของ F1 ในปี 2019 นี้ ฝ่ายเทคนิคที่จัดการแข่งขันได้มีการคาดการณ์ถึงรถแข่งที่จะสามารถปรับปรุงสมรรถนะเพื่อให้สามารถขับขี่ได้เร็วกว่าเดิม แม้หลายฝ่ายจะคาดการณ์ตรงกันข้ามว่ากฎใหม่ที่ออกมาจะส่งผลให้รถแข่งทั้งหลายมีความเร็วช้าลงก็ตาม เพราะฉะนั้นเรามาดูกันว่ารถจากค่ายไหนที่มีโอกาสโชว์ฟอร์มได้ดีขึ้นกว่าเก่าในฤดูกาลหน้า

Ferrari จ้าวแห่งความเร็ว

                ขณะนี้ทีม F1 ได้เริ่มทำการทดสอบเพื่อคาดการณ์ผลที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงกฎใหม่ของรถแข่ง ซึ่งได้ผลลัพธ์ออกมาว่ารถแข่งทั้งหลายมีโอกาสที่จะทำความเร็วต่อรอบได้ช้ากว่าสถิติของปี 2018 เป็นเวลา 2 วินาที

                ล่าสุด Mattia Binotto หัวหน้าทีมเฟอร์รารี่ได้กล่าวในงานเปิดตัวรถยนต์ในปี 2019 ของทีมเมื่อต้นเดือนนี้ว่า ทีมเฟอร์รารี่มีการคาดการณ์ว่าการเปลี่ยนกฎดังกล่าวจะทำให้เกิดผลกระทบต่อรถแข่งของทีม Ferrari เป็นเวลา 1.5 วินาทีต่อรอบ ซึ่งผลดังกล่าวเกิดขึ้นจากการทดสอบในครั้งแรก แต่อย่างไรก็ตามจากการทดสอบครั้งล่าสุดที่ผ่านมาพบว่าการเปลี่ยนกฎดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับความเร็วของเฟอร์รารี่แต่อย่างใด อีกทั้งรถแข่งยังสามารถทำความเร็วได้เทียบเคียงกับสถิติเมื่อ 12 เดือนที่ผ่านมาอีกด้วย ซึ่งทีมสามารถเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนจากฝีมือการขับของ Lewis Hamilton ในการทดสอบช่วงสัปดาห์สุดท้ายที่บาร์เซโลนาซึ่งสามารถทำความเร็วได้ดีขึ้น 

โอกาสของ Renault

                นอกจากทีม Ferrari แล้ว Nick Chester หัวหน้าฝ่ายเทคนิคของ Renault ยังคาดการณ์ว่ารถแข่งของทีมในฤดูกาลปี 2019 ที่กำลังจะมาถึงนี้จะสามารถทำความเร็วได้ดีกว่าผลงานในปี 2018 โดยทางทีมคาดว่าในการทดสอบสัปดาห์หน้ารถแข่งจะสามารถทำเวลาได้ดีขึ้นเนื่องจากการปรับปรุงสมรรถนะบางอย่าง

จากการทดสอบครั้งล่าสุดพบว่าในช่วงท้ายของการ Test รถของทีม Renault สามารถทำความเร็วได้ดีว่าผลงานในช่วงท้ายของปี 2018 ในขณะเดียวกันทางทีมวิศวกรก็ยังคงพยายามที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในทุกรายละเอียด โดยเฉพาะเรื่องของกฎใหม่ที่ส่งผลทำให้รถเสียน้ำหนักไปเล็กน้อยจนเกิดผลกระทบทำให้เสียสมดุล ซึ่งเชื่อว่าปัญหาข้อนี้เป็นสิ่งที่หลายทีมก็ล้วนต้องเจอและต้องแก้ไขเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือทีมจะต้องเรียนรู้ข้อผิดพลาดและแก้ไขโดยเร็วที่สุด กฎใหม่ที่ออกมาในครั้งนี้ถือเป็นการพิสูจน์ฝีมือและเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งของทีมวิศวกร Renault เลยก็ว่าได้

                จากการเปลี่ยนกฎใหม่ของการแข่งขัน F1 ในปี 2019 ส่งผลให้แต่ละทีมต้องปรับปรุงรถแข่งกันยกใหญ่ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าทีมวิศวกรและฝ่ายเทคนิครวมถึงนักแข่งของทีมไหนจะสามารถโชว์ฟอร์มเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ได้ดีที่สุด

Mercedes เปลี่ยนปีกหน้ายกชุดเตรียมพร้อมรับการแข่งขัน F1 ฤดูกาล 2019

สืบเนื่องจากการออกกฎของคณะกรรมการแข่งขัน Formular 1 ในปี 2019 ที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการกระบวนการไหลของอากาศ (Airflow) ด้านหน้าของรถที่ต้องมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นทำให้ทีมต่าง ๆ ต้องพากันปรับปรุงรถแข่งของตัวเอง รวมถึงทีม Mercedes ก็เช่นเดียวกัน

Mercedes เตรียมพร้อม เปลี่ยนปีกหน้ายกชุด

                สำหรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ Mercedes กล่าวว่า ถือเป็นแนวคิดที่ดีในการจะเปลี่ยนปีกหน้าให้ออกมาคล้ายกับคอนเซ็ปต์ของ Ferrari และคงต้องใช้ระยะเวลาอีกหลายเดือนกว่าจะเสร็จ แต่ก็ยอมรับว่านี่จะเป็น

การเปิดกว้างเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม

                “คุณต้องมีใจที่เปิดกว้าง” หัวหน้าทีมของ Mercedes กล่าวล่าสุดในงานอีเว้นท์ของ Petronas ที่ Mercedes ร่วมเป็นสปอนเซอร์ อีกทั้งยังกล่าวต่อว่าทีมของเขายังมีปรัชญาการออกแบบที่แตกต่างจากทีมอื่น ๆ เพราะถ้าทุกคนเปิดใจในสิ่งที่คนอื่น ๆ ทำ รวมถึงทุกคนในทีมสามารถทำตามหน้าที่ของตัวเองได้ดีขึ้น นั่นหมายถึงว่าเราจะสามารถนำสิ่งที่ได้รับการปรับปรุงพัฒนามาใส่รถและทำการทดลองเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้ ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนปีกหน้าที่ต้องเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนพลศาสตร์และมาตราส่วนของรถนั้นย่อมไม่ใช่แค่การใช้เวลาเป็นวันหรือสัปดาห์แต่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันเป็นเดือนเลยทีเดียว

                Timeline การเปลี่ยนปีกหน้าของ Mercedes ในครั้งนี้คาดว่าต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนหลังจากได้คอนเซ็ปต์ เนื่องจากการจะพัฒนาปีกหน้าที่มีความแตกต่างจากรูปแบบเก่าอย่างสิ้นเชิงให้สามารถใช้งานได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งทีมยังมีความพยายามที่จะใช้แรงดันเพื่อให้ล้อรถดันออกมาด้านนอกมากที่สุดเพื่อให้ได้ดีไซน์และการขับเคลื่อนที่ดีที่สุด รวมถึงการออกแบบเพื่อให้เกิดความสมดุลขึ้นเพียงเล็กน้อยก็มีส่วนที่จะทำให้รถยนต์สามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งแต่ละเงื่อนไขนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยโซลูชั่นที่แตกต่างกัน  

ความคืบหน้าของทีมอื่น ๆ    

ในขณะที่ Mercedes และ Red Bull เลือกใช้การออกแบบปีกหน้าด้วยดีไซน์ที่ดูเหมือนจะกลับไปสู่ความดั้งเดิมมากขึ้น แต่ทีมอย่าง Ferrari และ Alfa Romeo กลับทำสิ่งที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงคือการออกแบบขอบด้านนอกของปีกด้านหน้าให้เอียงไปทางด้านท้ายมากที่สุด โดย Ferrari ได้เริ่มทำการทดสอบปีกหน้าใหม่ที่มีความแข็งแกร่งนี้ตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว ส่วน Toyota ซึ่งเห็นว่าทีมของตัวเองทำได้ดีมากแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็กำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะทำให้รถแข่งของตัวเองมีสมรรถนะที่ดีขึ้นกว่าเดิม

หลังจากการเปลี่ยนแปลงปีกหน้าของ Mercedes, Red Bull, Ferrari, Alfa Romeo และ Toyota รวมถึงทีมอื่น ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วแฟน ๆ ออโต้สปอร์ตก็คงต้องรอดูว่าผลลัพธ์และผลงานของทีมใดจะเด็ดกว่ากัน

เรื่องราวเบื้องหลังสถิติมอเตอร์สปอร์ตที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

หลังจากการทดสอบรวมถึงการรวบรวมข้อมูลของการแข่งขันรถสูตร 1 ของ Forix ซึ่งใช้เวลายาวนานได้สิ้นสุดลงไปแล้ว เราก็ได้นำเอาเรื่องราวเบื้องหลังการเก็บสถิติมอเตอร์สปอร์ตที่เชื่อว่ายังไม่มีใครรู้มาฝากกัน

Forix ผู้อยู่เบื้องหลังการเก็บสถิติ         

                จากเกาะ Azores ที่ไกลออกไป Jaoa Paulo Cunha ใช้เวลามากกว่า 30 ปี ในการรวบรวมและประมวลผลสถิติเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความแม่นยำและครอบคลุมมากที่สุดจากการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต    

ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่าน Jaoa Paulo Cunha และทีมงานของ Forix ได้ใช้เวลาในการทำงานเพื่อจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในการแข่งขันรถแข่งรวมถึงเรื่องของล้อรถยนต์ทั้ง 4 ล้อไปจนถึงตัวมอเตอร์ไว้อย่างครบถ้วน อย่างที่เรียกได้ว่ามีการเก็บทุกสถิติในโลกที่เกี่ยวข้องกับการแข่งรถที่แฟน ๆ ให้ความสนใจก็ว่าได้

ในบางช่วงที่มีซีซั่นการแข่งขันทีมงานของพวกเขาต้องทำงานกันอย่างต่อเนื่องถึง 18 ชั่วโมง อย่างไม่มีวันหยุดรวมถึงวันอาทิตย์ ทำให้ตอนนี้ Forix มีข้อมูลการแข่งขันรถทั้งสิ้น 515 ซีรีย์ทั้งที่มีการจัดแข่งขันขึ้นในปี 2018 และรายการที่ไม่มีการจัด มีข้อมูลผลการแข่งขันกว่า 52,000 สนาม รวมถึงข้อมูลของนักแข่งกว่า 70,000 คนและรถแข่งกว่า 6,000 คัน

จากงานอดิเรกนำไปสู่การเก็บสถิติระดับโลก

Jaoa Paulo Cunha กล่าวว่า ตอนแรกการเก็บข้อมูลเหล่านี้ก็เหมือนจะเป็นงานอดิเรก เนื่องจากเขาเป็นแฟนตัวยงของการแข่งขันรถ F1 เขาก็เลยตามเก็บข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วบันทึกลงไปในคอมพิวเตอร์และทำมันมาอย่างต่อเนื่องจนเริ่มกลายเป็นงานที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด Forix ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ที่ทำการเก็บรวบรวมและประมวลผลสถิติต่าง ให้กับการจัดแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตและเข้าร่วมเป็นเครือข่ายพันธมิตรของการแข่งขันทั้งหลายเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2016 นับจากวันนั้นถึงวันนี้นับเป็นระยะเวลาถึง 50 ปีของ Jaoa Paulo Cunha เรียกได้ว่าทำมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่เลยทีเดียว และสาเหตุที่เขาเลือกที่ตั้งในการทำงานอยู่ที่เกาะ Azores ก็เนื่องจากสะดวกสำหรับการเก็บข้อมูลการแข่งขันที่อยู่ในสนามของแต่ละประเทศซึ่งมี Timezone แตกต่างกันนั่นเอง

สำหรับความแม่นยำของการเก็บข้อมูลนั้น Jaoa Paulo Cunha ยังกล่าวต่อว่า ในบางครั้งการเก็บข้อมูลของ Forix ยังมีความแม่นยำกว่าการเก็บข้อมูลของผู้จัดงานเสียอีก ทำให้บริษัทมีส่วนช่วยในการเก็บสถิติของมอเตอร์สปอร์ตได้มากจนได้รับการยอมรับและได้รับความเชื่อถือจากเหล่าผู้จัดระดับโลก

สำหรับแฟน ๆ ที่สนใจการเก็บข้อมูลการแข่งรถระดับโลกซีรีย์ต่าง ๆ จาก Forix คุณสามารถค้นหาข้อมูลและเข้าถึงบริการในรูปแบบต่าง ๆ ได้ทางออนไลน์

ออโต้ครอสการแข่งขันรถยนต์ของทักษะชั้นสูง

ในการขับขี่รถยนต์สิ่งที่จำเป็นสำหรับการขับขี่คือ ทักษะที่ใช้ในการขับรถยนต์ เพราะถ้าหากไม่มีทักษะในการขับขี่รถยนต์การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เข้ามาโดยไม่คาดคิด อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุที่อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นการฝึกการขับรถยนต์ที่ใช้ทักษะในการขับขี่อย่างมาก จะทำให้ชีวิตที่อยู่บนท้องถนนมีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งการแข่งขันแบบออโต้ครอสเป็นการแข่งขันรถยนต์ที่ใช้ทักษะในการขับขี่แข่งขันสูง ทำให้เหมาะแก่การศึกษาเรียนรู้ฝึกหัดและทดสอบในการแข่งขันรถยนต์ประเภทนี้ เพื่อรักษาชีวิตบนท้องถนนให้ปลอดภัยกว่าที่เคยเป็น

การแข่งขันออโต้ครอสมีลักษณะคล้ายกับการแข่งขันแบบจิมคาน่า จนทำให้ผู้ที่พบเห็นการแข่งขันออโต้ครอสแบบผิวเผินเข้าใจว่าเป็นการแข่งขันในแบบเดียวกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการแข่งรถยนต์ในแบบทั้ง 2 ไม่ใช่การแข่งขันที่มีความเหมือนกัน เพราะการแข่งขันแบบจิมคาน่านั้นจะมีการจัดสถานที่การแข่งขันในรูปแบบเส้นทางที่ไม่มีทิศทางที่แน่นอน เพื่อเป็นการท้าทายการขับขี่ของเกมส์การแข่งขัน ส่วนการแข่งขันในแบบออโต้ครอสที่แท้จริงแล้วเป็นการขับที่เน้นการขับขี่ในทางเรียบ และจำลองเส้นทางการใช้งานที่ใช้บนท้องถนนได้จริง

ลักษณะในการแข่งขันรถยนต์แบบออโต้ครอส ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การแข่งขันแบบประเภททางเรียบในลานกว้าง และการแข่งขันชิงชัยในประเภททางฝุ่น โดยในการแข่งขันจะเน้นทักษะในการควบคุมรถไม่ให้ชนกับไพล่อนยางรถยนต์เก่าที่ได้นำมาทำเป็นขอบเขตเส้นทางในการแข่งขัน ซึ่งสามารถใช้ความเร็วของรถยนต์เท่าใดก็ได้ในการขับขี่ และผู้เข้าแข่งขันคนใดทำเวลาได้น้อยที่สุดจะเป็นผู้ชนะสำหรับการแข่งขันรถยนต์รายการนี้ ส่วนรถที่ใช้สำหรับการแข่งขันเป็นรถ 4 ล้อประเภทใดก็ได้ในการลงแข่ง แต่ต้องเช็คสภาพรถยนต์ในช่วงล่างและยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับผิวสนามในแต่ละสถานที่เสียก่อน โดยการแข่งขันออโต้ครอสจะเริ่มจากการจับเวลารถยนต์ตั้งแต่จุดปล่อยตัวเข้าสนามไปจนถึงสิ้นสุดระยะทางการแข่งขันเพียง 1 คันต่อ 1 รอบเท่านั้น หากผู้เข้าแข่งขันคนใดสามารถทำเวลาในการแข่งขันได้น้อยที่สุดจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะ

ออโต้ครอสเป็นที่นิยมมากในหลายประเทศโดยเฉพาะอเมริกา เนื่องจากเป็นการแข่งขันที่ใช้รถใดชนิดใดก็ได้ในการลงแข่ง พร้อมทั้งยังเป็นการแข่งขันที่ปลอดภัยที่สุดในการแข่งขันรถยนต์ทุกรูปแบบ และมีค่าใช้จ่ายในการแข่งขันต่ำมากอีกด้วย โดยในประเทศไทยได้มีการจัดการแข่งขันออโต้ครอสขึ้นในหลายพื้นที่ อย่างเช่น ลานอเนกประสงค์ ห้างสรรพสินค้า ซีคอนสแควร์ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในการจัดการแข่งขันรถยนต์ออโต้ครอส