รายการแข่ง MotoGP สุดยอดรายการแข่งรถมอเตอร์ไซค์ทางเรียบต้องใช้สนามแข่งถึง 19 สนามเพื่อชิงชัยกันในแต่ละฤดูกาลเลยทีเดียว มาดูกันว่าแต่ละสนามนั้นอยู่ที่ไหนบ้างและมีจุดเด่นที่น่าสนใจอย่างไร
สนามที่ 1 : Losail International Circuit ประเทศกาตาร์ (QATAR GP)
สนามแห่งนี้มีลักษณะของภูมิประเทศเป็นทะเลทราย จึงมีสภาพภูมิอากาศที่ร้อนจัด มีระยะทาง 5.4 กิโลเมตร จำนวนทางโค้ง 16 โค้ง จึงต้องจัดการแข่งขันในเวลากลางคืน หรือแบบ Night Race
Highlight : โค้งที่ 10 ซึ่งเป็นโค้งหักศอกถึงเกือบ 90 องศา และโค้งที่ 16 ที่เป็นโค้งสุดท้ายก่อนที่นักแข่งจะสามารถบิดเร่งความเร็วสำหรับทางตรงก่อนเข้าเส้นชัย
สนามที่ 2 : Termas de Rio Hondo Circuit ประเทศอาร์เจนตินา (ARGENTINA GP)
สนาม Termas de Rio Hondo Circuit มีระยะทาง 4.8 กิโลเมตร และมีโค้ง 14 โค้ง
Highlight : จุดเด่นของสนามจะอยู่ในโค้งที่ 3 โค้งยูเทิร์นซึ่งมีความลาดเล็กน้อย ถือเป็นจุดท้าทายและอันตราย หากนักแข่งพลาดก็มีโอกาสหลุดโค้งได้เสมอ
สนามที่ 3 : Circuit of the Americas ประเทศสหรัฐอเมริกา (AMERICAS GP)
สนามที่ 3 นี้ มีระยะทาง 4.8 กิโลเมตร โค้งทั้งหมด 20 โค้ง ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้แข่งรถ Formula 1 ทำให้มีโค้งหลายรูปแบบและมีความโหดมากทีเดียว
Highlight : อยู่ที่โค้งที่ 11 ซึ่งเป็นโค้งก่อนทางตรง นักแข่งจะเร่งความเร็วสุงสุดเพื่อแซงนักแข่งคนอื่น ๆ หรือพลิกเกมได้จากโค้งที่ 11 นี้
สนามที่ 4 : Circuit de Jerez ประเทศสเปน (SPANISH GP)
เป็นสนามที่มีระยะทาง 4.4 กิโลเมตร โค้ง 13 โค้ง
Highlight : โค้งที่ 6 โค้งยูเทิร์นนี้ รอปราบเซียนนักแข่งที่หากบิดกันเพลินจากช่วงทางตรงก็อาจจะพลาดท่าได้เหมือนกัน
สนามที่ 5 : Le Mans ประเทศฝรั่งเศส (FRENCH GP)
มีระยะทาง 4.2 กิโลเมตร โค้ง 14 โค้ง สนามนี้ถูกใช้เป็นสนามแข่งขัน “The 24 Hours of Le Mans” หรือการแข่งขันรถที่ใช้ความเร็วสูงต่อเนื่องถึง 24 ชั่วโมง
Highlight : ตัวสนามมีโค้งที่สุดแสนจะโหด โดยเฉพาะโค้งที่ 13 และ 14 ที่เป็นโค้งแคบต่อเนื่องกัน ถือเป็นจุดที่นักแข่งสามารถพลิกโอกาสในการขึ้นนำนักแข่งคนอื่น ๆ ได้เลย
สนามที่ 6 : Autodromo di Mugello ประเทศอิตาลี (ITALIAN GP)
มีระยะทาง 5.2 กิโลเมตร มี 15 โค้ง ตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือเมืองฟลอเรนซ์ ถูกขนานนามว่าเป็นสนามแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ทางเรียบที่สวยงามที่สุด
Hilight : โค้งที่ 6 และ 7 เป็นจุดที่ผู้นำมักถูกแซง เนื่องจากลักษณะโค้งถัดไปถูกวางไว้ให้นักบิดต้องชะลอความเร็วเพื่อเตรียมตัวเข้าโค้งต่อไป
สนามที่ 7 : Circuit de Barcelona–Catalunya ประเทศสเปน (CATALAN GP)
มีระยะทาง 4.7 กิโลเมตร มี 13 โค้งถือเป็นสนามที่ทันสมัยที่สุด มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิเช่น ร้านอาหาร ศูนย์สื่อสารต่าง ๆ รวมถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์
Highlight : โค้งที่ 3 ต่อเนื่องยาวไปโค้งที่ 4 เป็นโค้งยาวสามารถไต่ความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง ถ้านักแข่งสามารถบิดเข้าโค้งไฮสปีดนี้ได้ ก็จะได้เปรียบนักแข่งคนอื่นทันที
สนามที่ 8 : TT Circuit Assen ประเทศสเปน (DUTCH GP)
มีระยะทาง 4.5 กิโลเมตร โค้ง 18 โค้ง ถูกขนานนามว่าเป็น “The Cathedral” ความยากและท้าทายของสนามแห่งนี้ คือสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างมาก ทั้งฝนตกและมรสุม
Highlight : โค้งที่ 16 17 18 เป็นโค้งตัว S ก่อนเข้าทางตรง Grandstand นักแข่งต้องมีทักษะการเบรกและพลิกตัวอย่างรวดเร็วเพื่อบิดเร่งทำความเร็วอีกครั้ง
สนามที่ 9 : Sachsenring ประเทศเยอรมนี (GERMAN GP)
มีระยะทางถือว่าสั้นที่สุดเพียง 3.7 กิโลเมตร และมีโค้ง 13 โค้ง
Highlight: ระหว่างโค้ง 12 และ 13 เป็นทางตรงเชื่อมระหว่าง 2 โค้ง ตัวโค้งมีความลาดเอียง ทำให้ความเร็วจากการเร่งจะเพิ่มขึ้น และโค้งที่ 13 นี้เองก็จะทำให้นักแข่งบางคนไถลหลุดโค้งได้
สนามที่ 10 : Automotodrom Brno ประเทศสาธารณรัฐเช็ก (CZECH GP)
สนามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีระยะทาง 5.4 กิโลเมตร ทั้งหมด 14 โค้ง ด้วยสถานที่ที่เป็นแอ่งกระทะทำให้พื้นผิวสนามมีลูกเล่นไล่ระดับไปกับภูมิประเทศแบบเนิน
Highlight : โค้งที่ 10 เป็นรูปแบบของโค้งไฮสปีดที่นักแข่งจะลดความเร็วจากทางตรงเพื่อมาวัดใจกันในโค้งนี้
สนามที่ 11 : Red Bull Ring – Spielberg ประเทศออสเตรีย (AUSTRIA GP)
มีระยะทาง 4.3 กิโลเมตร โค้ง 10 โค้ง ทางตรงของสนามนั้นมีความลาดชัน และมีระดับสูง-ต่ำสลับกันไปมา
Highlight : รูปแบบของสนามที่มีความสูงต่ำสลับกันไปมาในทางตรงยาว ทำให้นักแข่งต้องระวังในการเปิดคันเร่งและเบรกให้ดี
สนามที่ 12 : Silverstone Circuit ประเทศอังกฤษ (GREAT BRITAIN GP)
มีระยะทางของสนามยาวที่สุดคือ 5.9 กิโลเมตร จำนวน 18 โค้ง จึงทำให้มีจำนวนรอบการแข่งน้อยกว่าสนามอื่นซึ่งมีเพียง 20 รอบ
Highlight : โค้งที่ 14 มี ทางตัด 90 องศา ก่อนเข้าโค้งนี้มีเส้นทางตรงระยะสั้นหลังจากโค้ง 12 และ 13 บังคับให้นักแข่งเปิดคันเร่งเพื่อขึ้นเนินในโค้งที่ 14 หากนักแข่งไม่ระวังตัวจากองศาของตัวโค้งนี้ก็อาจจะพลาดท่าได้ง่าย
สนามที่ 13 : Marino World Circuit Marco Simoncelli ประเทศอิตาลี (SAN MARINO GP)
สนามนี้มีระยะทาง 4.2 กิโลเมตร 16 โค้ง มีศักยภาพที่สามารถรองรับการแข่งขันทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เป็นสนามที่มีพลังงานสะอาดและระบบที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยไม่มีการปล่อยมลพิษ
Highlight : สำหรับเหล่านักแข่ง คือทางตรงยาวในหลายจุดที่สามารถใช้ความเร็วได้เต็มที่ แต่ก็มีจุดที่นักแข่งต้องระวัง คือสภาพอากาศที่มีความชื้นสูงโอกาสที่ฝนจะตกบ่อยจนกลายเป็นการแข่งแบบ Wet Race และจุดโค้งที่ 14 ซึ่งเป็นโค้งตัว U หากนักแข่งไม่ระวังอาจจะพลาดไถลออกโค้งได้
สนามที่ 14 : Motorland Aragon ประเทศสเปน (ARAGON GP)
มีระยะทาง 5.1 กิโลเมตร มี 17 โค้ง เป็นสนามที่มีความครบครัน ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย โรงแรม แหล่งช้อปปิ้ง และศูนย์วิจัยการกีฬา
Highlight : ในโค้งที่ 16 โค้งตัดสินชะตาของนักแข่ง ก่อนที่จะบิดคันเร่งเต็มกำลังในทางตรงที่ยาว 968 เมตร
สนามที่ 15 : Chang International Circuit ประเทศไทย (Thai GP)
มีระยะทาง 4.5 กิโลเมตร โค้ง 12 โค้ง ได้รับการออกแบบจาก คุณ Hermann Tilke ชาวเยอรมัน อดีตนักแข่งและสถาปนิกที่ผ่านการออกแบบสนามแข่งระดับโลกหลาย ๆ แห่งมาแล้ว
Highlight : สามารถรองรับการแข่งขัน Formula 1 ได้ เพราะเป็นสนามที่สามารถทำความเร็วได้กว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมถึงความเร็วในโค้งร่วม 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง นอกจากนี้ในโค้งสุดท้ายโค้งที่ 12 เป็นโค้งวัดชะตาก่อนเข้าทางยาวนำสู่เส้นชัย เป็นโค้งที่ออกแบบมาเพื่อที่ให้ผู้ตามสามารถกลายเป็นผู้นำด้วยจังหวะเพียงพริบตา
สนามที่ 16 : Twin Ring Motegi ประเทศญี่ปุ่น (JAPANESE GP)
มีระยะทาง 4.8 กิโลเมตร โค้ง 14 โค้ง สนามนี้มี Honda Collection Hall พิพิธภัณฑ์ที่เก็บประวัติศาสตร์ทุกเรื่องของฮอนด้า รวมถึงต้นแบบหุ่นยนต์อาซิโมก่อนจะเป็นหุ่นยนต์ขวัญใจคนทั่วโลก
Highlight: สนามนี้มีโค้งตัว U อยู่หลายจุด เบรกจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุด หากผิดพลาดในช่วงท้ายอาจพลาดเสียอันดับให้นักบิดคนอื่นได้
สนามที่ 17 : Phillip Island ประเทศออสเตรเลีย (AUSTRALIAN GP)
สนามใกล้ชายทะเล ที่มีวิวทิวทัศน์การแข่งขันผสานกับวิวทะเลที่ยาวสุดลูกหูลูกตา ระยะทางทั้งหมด 4.4 กิโลเมตร มี 12 โค้ง
Highlight : โค้ง 10 เป็นทางโค้งแคบแบบปิดมุมคล้ายตัว V และยากต่อการมองเห็น และต้องใช้ความเร็วสูงเพื่อจะรักษาพ้นโค้งให้ได้ ซึ่งนักแข่งต้องใช้ทักษะค่อนข้างสูง
สนามที่ 18 : Sepang International Circuit ประเทศมาเลเซีย (MALAYSIAN GP)
มีระยะทาง 5.5 กิโลเมตร โค้ง 15 โค้ง ขึ้นชื่อว่าเป็นสนามแห่งความเร่าร้อน เพราะคลื่นความร้อนจากภูมิประเทศแผ่สู้กับฟอร์มความร้อนแรงของนักแข่ง สนามแห่งนี้ต้องใช้ทักษะในการขับขี่ที่ค่อนข้างสูง
Highlight : โค้งที่ 15 เนื่องจากมีทางตรงก่อนเข้าและหลังออกจากโค้ง นักแข่งจึงใช้ความเร็วอย่างเต็มกำลังในทางตรงก่อนเข้าโค้งและควบคุมรถให้ดีหลังจากออกจากโค้งที่ 15 นี้
สนามที่ 19 : Circuit Ricardo Tormo ประเทศสเปน (VALENCIA GP)
มีระยะทาง 4.0 กิโลเมตร 14 โค้ง จุดเด่นคือเป็นสนามปิดท้ายฤดูกาล หรือที่รู้จักกันในชื่อ Circuit de Valencia สนามมีความแคบของแทร็กเป็นอาวุธ ทำให้แซงกันได้ยากพอสมควร
Highlight : สนามแห่งนี้เป็นไฮไลท์ตบท้ายรายการนี้ ด้วยความแคบของสนามแข่งขันที่กว้างเพียง 12 เมตรทำให้เกิดความยากในการแซงของนักแข่ง ตัวนักแข่งต้องใช้ความสามารถในการควบคุมรถและไหวพริบในการโค้งค่อนข้างมาก
ทั้งหมด 19 สนามของรายการ MotoGP แต่ละสนามนับว่ามีความท้าทายที่แตกต่างกันไป ทำให้รู้ว่านักแข่งกว่าจะได้แชมป์มานั้นต้องมีทั้งทักษะและความสามารถในการขับขี่รถในสนามแข่งมากเลยทีเดียว