ฆวน มานูเอล ฟานจิโอ: ปรมาจารย์แห่งมอเตอร์สปอร์ต

ในพงศาวดารของประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ต ชื่อบางชื่อเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าชื่ออื่นๆ และในบรรดาชื่อเหล่านั้น ชื่อ ฆวน มานูเอล ฟานจิโอ ก็เปล่งประกายด้วยรัศมีแห่งความเป็นเลิศที่ไม่มีใครเทียบได้ฟานจิโอเกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2454 ในเมืองบัลการ์เซ ประเทศอาร์เจนตินา และได้กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีตำนานมากที่สุดในโลกของการแข่งรถสูตร 1 โดยทิ้งร่องรอยที่ลบไม่ออกซึ่งอยู่เหนือรุ่นต่อรุ่น

การเดินทางเริ่มต้นขึ้น

การเดินทางในมอเตอร์สปอร์ตของฟานจิโอเริ่มต้นในภูมิประเทศที่ขรุขระของอเมริกาใต้ การแข่งขันในช่วงแรกของเขาบนถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์โดยธรรมชาติของเขา มันเป็นจุดเริ่มต้นที่เรียบง่าย แต่ได้วางรากฐานสำหรับอาชีพที่จะเขียนบันทึกใหม่

มรดกสูตร 1

อาชีพ Formula 1 ของฟานจิโอนั้นไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย เขาคว้าแชมป์โลกครั้งแรกในปี 1951 และคว้าแชมป์ได้อีก 5 รายการ ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่ขาดตอนมาเกือบครึ่งศตวรรษ ความสามารถของเขาในการจัดการรถยนต์ด้วยความเฉียบแหลมและแม่นยำนั้นไม่มีใครเทียบได้ การแข่งขันแต่ละครั้งถือเป็นมาสเตอร์คลาส ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความฉลาดทางกลยุทธ์และทักษะหลังพวงมาลัยที่ไม่มีใครเทียบได้

การแข่งขันของปรมาจารย์

ยุคของฟานจิโอโดดเด่นด้วยการแข่งขันอันดุเดือดกับเพื่อนผู้ยิ่งใหญ่อย่าง Alberto Ascari และ Stirling Moss การต่อสู้เหล่านี้ มักกำหนดเป็นวินาที ไม่ใช่นาที เป็นการยกระดับกีฬาให้สูงขึ้นไปอีกขั้น ความสามารถของฟานจิโอในการรักษาความสงบภายใต้ความกดดันกลายเป็นจุดเด่นของสไตล์การแข่งรถของเขา

สัมผัสของมนุษย์

นอกเหนือจากสนามแข่งแล้วฟานจิโอยังได้รับความเคารพจากความอ่อนน้อมถ่อมตนและมีน้ำใจนักกีฬา เขาได้รับความเคารพไม่เพียงแต่สำหรับชัยชนะของเขาเท่านั้น แต่ยังได้รับความสง่างามที่เขาสามารถจัดการทั้งชัยชนะและความพ่ายแพ้อีกด้วย ความประพฤติอันเป็นสุภาพบุรุษของเขาทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ และนักแข่งคนอื่นๆ

ปาฏิหาริย์ของ Mille Miglia:

หนึ่งในช่วงเวลาที่กำหนดในอาชีพการงานของฟานจิโอเกิดขึ้นในปี 1955 Mille Miglia ซึ่งเป็นการแข่งขันความอดทนอันทรหดทั่วอิตาลี แม้จะมีการแข่งขันที่ดุเดือด แรงผลักดันที่ไม่ธรรมดาและความฉลาดเชิงกลยุทธ์ของฟานจิโอก็ทำให้เขาได้รับชัยชนะ ความสำเร็จที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ต

มรดกและการยอมรับ

มรดกของฟานจิโอขยายไปไกลกว่าเส้นทาง อิทธิพลของเขาที่มีต่อกีฬารุ่นต่อๆ ไปนั้นมีมากมายมหาศาล ในปี 2009 เนื่องในวาระครบรอบหนึ่งร้อยปีวันเกิดของเขา FIA ได้เปิดตัว FIA Pole Trophy เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา ซึ่งเป็นการยกย่องยกย่องชายผู้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในอาชีพการงานของเขาในตำแหน่งแนวหน้าของตารางการแข่งขัน

ความเป็นอมตะ

ฆวน มานูเอล ฟานจิโอ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1995 แต่จิตวิญญาณของเขายังคงแข่งขันเคียงข้างรถ Formula 1 ทุกคันที่วิ่งไปรอบๆ สนามแข่งรถ ชื่อของเขาจารึกไว้ไม่เพียงแค่ในถ้วยรางวัลเท่านั้น แต่ยังอยู่ในจิตวิญญาณของมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจว่าความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงในสนามแข่งนั้นเป็นอย่างไร

ในโลกของมอเตอร์สปอร์ต ที่ความเร็วพบกับกลยุทธ์ และความกล้าพบกับความเฉียบแหลม ฆวน มานูเอล ฟานจิโอ ยืนหยัดในฐานะพารากอนแห่งความเป็นเลิศ เรื่องราวของเขาไม่ได้เป็นเพียงบทหนึ่งของประวัติศาสตร์การแข่งรถเท่านั้น มันเป็นตำนานแห่งความมุ่งมั่น ความมีน้ำใจนักกีฬา และการแสวงหาความสมบูรณ์แบบเหนือกาลเวลา มรดกของฟานจิโอยังคงอยู่ต่อไป โดยเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักแข่งและแฟน ๆ เหมือนกัน เตือนเราทุกคนว่าในอาณาจักรของมอเตอร์สปอร์ต ตำนานได้ถือกำเนิดขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญนั้นหาได้ยาก และ ฆวน มานูเอล ฟานจิโอ ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงสุดอย่างปฏิเสธไม่ได้

อแล็ง พรอสต์: มรดกอันล้ำลึกของปรมาจารย์รถสูตรหนึ่ง

การแนะนำ

ในโลกการแข่งรถฟอร์มูลาวันที่ออกเทนสูง มีเพียงไม่กี่ชื่อเท่านั้นที่โดนใจพอๆ กับ อแล็ง พรอสต์ ด้วยอาชีพการงานที่ยาวนานกว่าทศวรรษ ทักษะการขับรถที่ยอดเยี่ยม ความกล้าหาญในเชิงกลยุทธ์ และสไตล์การขับขี่ที่โดดเด่นของพรอสท์ ทำให้เขาได้รับฉายาว่า “ศาสตราจารย์” นอกเหนือจากการแข่งขันฟอร์มูลาวันชิงแชมป์โลกสี่รายการที่น่าประทับใจแล้ว มรดกของ พรอสต์ ยังขยายลึกลงไปอีกมาก ทิ้งร่องรอยที่ลบไม่ออกให้กับกีฬาและกำหนดอนาคตของกีฬา

ช่วงปีแรก ๆ และการก้าวขึ้นสู่ความโดดเด่น

เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1955 ในเมืองลอเร็ตต์ ประเทศฝรั่งเศส ความหลงใหลในการแข่งรถของ พรอสต์ จุดประกายตั้งแต่อายุยังน้อย พรสวรรค์โดยกำเนิดของเขาก็ปรากฏชัดทันทีเมื่อเขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งมอเตอร์สปอร์ต เปิดตัวครั้งแรกในฟอร์มูลาวัน ในปี 1980 ความก้าวหน้าของ พรอสต์ มาพร้อมกับทีมแมคลาเรนซึ่งเขาแสดงความสามารถของเขาในการดึงประสิทธิภาพสูงสุดจากรถของเขา นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันที่มีเรื่องราวของเขากับไอร์ตัน เซนนา ซึ่งเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์กีฬา

ศิลปะแห่งการขับขี่ที่แม่นยำ

สไตล์การขับขี่ของพรอสท์เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความเฉียบแหลมและความแม่นยำ ชื่อเล่นว่า “ท่านศาสตราจารย์” จากแนวทางการคำนวณของเขา เขามีชื่อเสียงในด้านการเคลื่อนไหวที่ราบรื่นและควบคุมได้บนสนามแข่ง เทคนิคที่โดดเด่นนี้ไม่เพียงแต่รักษายางและเชื้อเพลิงของเขาเท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในระหว่างการแข่งขันอีกด้วย ความสามารถพิเศษของ พรอสต์ ในการรักษาการยึดเกาะของยางและการจัดการการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงทำให้เขามีกำลังที่น่าเกรงขาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างการแข่งขันที่ยาวนาน

การแข่งขันกับเซนนา

การแข่งขันระหว่าง พรอสต์-เซนนา ดึงดูดแฟนๆ และกำหนดยุคสมัยของฟอร์มูลาวัน บุคลิกที่ตัดกันและวิธีการขับขี่ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงทั้งในและนอกสนามแข่ง วิธีการใช้สมองของ พรอสต์ ขัดแย้งกับสไตล์การขับขี่ที่ดุดันของเซนนาส่งผลให้เกิดการปะทะกันอย่างดราม่าและช่วงเวลาสำคัญ การปะทะกันในการแข่งขันเจแปน กรังด์ปรีซ์ ปี 1989 ซึ่งทำให้พรอสต์คว้าแชมป์ ยังคงฝังอยู่ในประวัติศาสตร์รถฟอร์มูล่าวัน

มรดกเหนือแชมป์

แม้ว่าตำแหน่งแชมป์โลกทั้งสี่รายการของ พรอสต์ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ของวงการกีฬา มรดกของเขามีมากกว่าแค่สถิติเท่านั้น บทบาทของเขาในการกำหนดรูปแบบการพัฒนารถแข่งและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับไดนามิกของทีมทำให้เกิดมาตรฐานใหม่แห่งความเป็นเลิศ หลังจากเกษียณจากการเป็นคนขับรถ พรอสต์ ก็เปลี่ยนมาบริหารทีมและก่อตั้งทีมพรอสต์ ความพยายามของเขามีส่วนทำให้เกิดวิวัฒนาการของฟอร์มูลาวันและความสำเร็จของนักแข่งจำนวนมากในเวลาต่อมา

น้ำใจนักกีฬาและการสะท้อนกลับ

ตลอดอาชีพของเขา พรอสต์รักษาความรู้สึกมีน้ำใจนักกีฬาและได้รับความเคารพจากเพื่อนร่วมแข่งขัน การเกษียณอายุของเขาในปี 1993 ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการสะท้อนถึงการเดินทางที่ไม่ธรรมดาของเขา หลังเกษียณ พรอสต์ได้กลายมาเป็นทูตของกีฬาชนิดนี้ โดยแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและประสบการณ์ของเขากับนักแข่งและแฟน ๆ รุ่นใหม่

บทสรุป

ผลกระทบของ อแล็ง พรอสต์ ที่มีต่อฟอร์มูลาวันอยู่เหนือธงตารางหมากรุก ความฉลาดทางเทคนิค สไตล์การขับขี่ที่วัดได้ และความเฉียบแหลมเชิงกลยุทธ์ของเขายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักแข่งและทีม ในฐานะ “ศาสตราจารย์” พรอสท์ไม่เพียงแต่สะสมตำแหน่งไว้เท่านั้น แต่ยังทิ้งมรดกที่ยั่งยืนซึ่งเสริมคุณค่าให้กับกีฬาด้วยศิลปะ ความมีน้ำใจนักกีฬา และความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ

เซบาสเตียน เวทเทล: การเดินทางสู่ความยิ่งใหญ่ของตำนานการแข่งรถ

ในโลกของมอเตอร์สปอร์ตที่อะดรีนาลินสูบฉีด มีบุคคลเพียงไม่กี่คนที่ก้าวข้ามขอบเขตของความเป็นเลิศและกลายเป็นตำนานที่แท้จริง บุคคลสำคัญคนหนึ่งคือเซบาสเตียน เวทเทล ชื่อที่สะท้อนถึงความเร็ว ความมุ่งมั่น และความหลงใหลในการแข่งรถที่ไม่เปลี่ยนแปลง จากเด็กหนุ่มที่มีความฝันอยู่ในดวงตาของเขาสู่แชมป์โลก Formula 1 สี่สมัย การเดินทางสู่ความยิ่งใหญ่ของเวทเทลเป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับพรสวรรค์ ความยืดหยุ่น และความทุ่มเทอย่างแท้จริง

วันแรกและการก้าวขึ้นสู่ความโดดเด่น

เกิดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 ที่เมืองเฮพเพนไฮม์ ประเทศเยอรมนี ความหลงใหลในการแข่งรถของเวทเทลเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย เติบโตในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาเริ่มขับรถโกคาร์ทเมื่ออายุเพียง 3 ขวบ ฝึกฝนทักษะของเขาบนสนามท้องถิ่น อัจฉริยะหนุ่มแสดงคำมั่นสัญญาที่เหลือเชื่อตั้งแต่เริ่มแรก และเห็นได้ชัดว่าเขามีพรสวรรค์ที่หาได้ยากซึ่งจะขับเคลื่อนเขาไปสู่ระดับบนของมอเตอร์สปอร์ตในไม่ช้า

การแสวงหาความเป็นเลิศอย่างไม่ลดละของเวทเทลทำให้เขาก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งแชมป์รถโกคาร์ท แสดงให้เห็นถึงความสามารถตามธรรมชาติของเขาในการทำความเข้าใจและจัดการกับเครื่องจักรความเร็วสูง เมื่ออายุได้ 15 ปี เขาก็คว้าแชมป์การแข่งขันรถโกคาร์ตรุ่นเยาว์ของเยอรมันและยุโรปได้แล้ว สร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะกองกำลังที่ต้องคำนึงถึง

การเดินทางของฟอร์มูล่าวัน

การเปลี่ยนจากรถโกคาร์ทเป็นที่นั่งเดี่ยวของเวทเทลนั้นไม่ธรรมดาเลย ในปี 2003 เขาเปิดตัวในซีรีส์ Formula BMW ADAC ซึ่งเขาจบอันดับที่ 5 ในฤดูกาลใหม่ได้อย่างน่านับถือ การแสดงนี้เปิดโอกาสให้เขาแข่งขันในประเภทที่สูงขึ้น และในที่สุดเขาก็ได้รับความสนใจจาก Red Bull Junior Team อันทรงเกียรติ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในอาชีพของเขา

หนุ่มชาวเยอรมันเข้าสู่การแข่งขัน Formula 1 ในปี 2550 ในฐานะนักขับทดสอบของ BMW Sauber อย่างไรก็ตาม การย้ายไปเล่นที่ Toro Rosso ในปีถัดมาทำให้เขาก้าวขึ้นมาได้อย่างโดดเด่น การแข่งขันรายการ Italian Grand Prix ประจำปี 2008 จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การแข่งรถตลอดไปในวันที่เวทเทลได้รับชัยชนะครั้งแรกในการแข่งขัน Formula 1 และกลายเป็นนักแข่งอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ในเวลานั้น

ยุคกระทิงแดง

ในปี 2009 เวทเทลเข้าร่วมทีม Red Bull Racing โดยสร้างความร่วมมืออันโดดเด่นกับรถ RB5 ที่ออกแบบโดย Adrian Newey พันธมิตรนี้เป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งการปกครองที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับทั้งเวทเทลและทีม ในอีกสี่ปีข้างหน้า เขาจะคว้าแชมป์โลกสี่รายการติดต่อกัน (2010-2013) ซึ่งตอกย้ำตำแหน่งของเขาในฐานะนักขับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในรุ่นของเขา

การแสวงหาความสมบูรณ์แบบอย่างไม่หยุดยั้ง ความใส่ใจในรายละเอียดอย่างพิถีพิถัน และความสามารถอันน่าทึ่งในการดึงสมรรถนะสูงสุดออกจากรถทำให้เขาเป็นพลังที่ไม่ย่อท้อในสนามแข่ง ความคงเส้นคงวาที่ไม่มีใครเทียบได้ของเวทเทลประกอบกับความกระหายในความสำเร็จอย่างไม่ลดละ ช่วยให้เขาเขียนบันทึกใหม่และจารึกชื่อของเขาไว้เคียงข้างตำนานอย่าง Schumacher, Fangio และ Senna

ความท้าทายและการก้าวไปข้างหน้า

เช่นเดียวกับแชมป์เปี้ยนผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนเวทเทลเผชิญกับความพ่ายแพ้ในอาชีพของเขา การย้ายไปยังเฟอร์รารีในปี 2558 ได้รับการคาดหวังอย่างสูง แต่แม้จะฉายแววแห่งความเฉลียวฉลาด แต่แชมป์โลกสมัยที่ 5 ที่ยากจะหยั่งถึงก็ยังอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ในปี 2021เวทเทลเริ่มต้นบทใหม่โดยเข้าร่วมทีม Aston Martin ที่ได้รับการรีแบรนด์ มุ่งมั่นที่จะปลุกจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันและเดินหน้าแสวงหาความรุ่งโรจน์ต่อไป

นอกเหนือจากความสำเร็จในสนามแข่งแล้วเวทเทลยังเป็นที่รู้จักในด้านน้ำใจนักกีฬา ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความเป็นเพื่อนกับนักแข่งคนอื่นๆ การอุทิศตนเพื่อการกุศลและความพยายามในการตอบแทนชุมชนถือเป็นตัวอย่างที่แสดงถึงลักษณะนิสัยของเขาที่นอกเหนือไปจากวงจรการแข่งรถ

มรดกและผลกระทบ

ในขณะที่ เซบาสเตียน เวทเทล ยังคงสร้างความสง่างามให้กับสนามแข่งรถ Formula 1 มรดกของเขาก็ได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ตแล้ว เรื่องราวของเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความจริงที่ว่าความยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากการทำงานหนัก การเสียสละ และความเชื่อที่ไม่เปลี่ยนแปลงในความสามารถของคนๆ หนึ่งนับไม่ถ้วน

ผลกระทบของเวทเทลที่มีต่อนักแข่งที่ต้องการนั้นนับไม่ถ้วน เป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่มีพรสวรรค์ในการไล่ตามความฝันอย่างไม่ลดละ เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าด้วยความมุ่งมั่น ความหลงใหล และการโฟกัสที่เหมือนแสงเลเซอร์ การแสวงหาความยิ่งใหญ่นั้นเป็นไปได้ โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังของใครก็ตาม

สรุป

การเดินทางของ เซบาสเตียน เวทเทล จากนักแข่งรถโกคาร์ทสู่ตำนาน Formula 1 เป็นเรื่องราวของชัยชนะเหนือความทุกข์ยาก การเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความจริงผ่านการอุทิศตนที่ไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่โลกแห่งการแข่งรถยังคงได้เห็นความกล้าหาญของเขาบนสนามแข่ง สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ ชื่อของ เซบาสเตียน เวทเทล จะถูกจารึกไปตลอดกาลในประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ต สร้างแรงบันดาลใจให้นักแข่งรุ่นต่อรุ่นไล่ตามธงตาหมากรุกของตนเอง และเปิดรับจิตวิญญาณของการแข่งรถด้วย ความเร่าร้อนและความหลงใหลแบบเดียวกับที่กำหนดอาชีพที่โด่งดังของเขา

Ayrton Senna: จดจำไอคอนการแข่งรถในตำนาน

Ayrton Senna ซึ่งได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในนักแข่งรถ Formula 1 ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ได้ทิ้งร่องรอยที่ลบไม่ออกให้กับกีฬาและหัวใจของคนนับล้าน ด้วยพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา ความมุ่งมั่นอันแรงกล้า และเสน่ห์ดึงดูดใจ Senna จึงกลายเป็นไอคอนทั้งในและนอกสนาม ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกชีวิตและมรดกของ Ayrton Senna เฉลิมฉลองความสำเร็จ ทักษะที่ไม่มีใครเทียบได้ และผลกระทบที่ยั่งยืนต่อโลกแห่งมอเตอร์สปอร์ต

ดาวรุ่ง

เกิดในบราซิลในปี 1960 ความหลงใหลในการแข่งรถของ Ayrton Senna จุดประกายตั้งแต่อายุยังน้อย จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ น้อยๆ ของเขาในการแข่งรถโกคาร์ท ไปจนถึงการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนักแข่งรถ ความทุ่มเทที่ไม่เปลี่ยนแปลงของ Senna และพรสวรรค์อันน่าทึ่งนั้นปรากฏชัด เขาได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองอย่างรวดเร็วในฐานะกองกำลังที่น่าเกรงขาม ดึงดูดใจแฟนๆ ด้วยการเร่งแซงที่กล้าหาญและความเร็วที่เหนือชั้น

แชมป์โลกสามสมัย

ความรุ่งโรจน์สูงสุดของ Senna มาจากการแข่งขัน Formula 1 World Championship ถึง 3 ครั้ง ในปี 1988, 1990 และ 1991 เขาได้รับตำแหน่งนี้ โดยแสดงให้เห็นถึงทักษะที่ไม่มีใครเทียบได้ ความดื้อรั้น และความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะชนะ การแข่งขันที่รุนแรงของ Senna โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Alain Prost กลายเป็นเรื่องราวของตำนาน สร้างการต่อสู้ที่น่าติดตามซึ่งดึงดูดใจคนทั้งโลก

ต้นแบบของสภาพเปียก

ความเชี่ยวชาญของ Senna เหนือสภาพเส้นทางที่เปียกชื้นถือเป็นตำนาน เขามีความสามารถที่แปลกประหลาดในการดึงประสิทธิภาพสูงสุดจากรถของเขาในการแข่งขันที่เปียกโชกด้วยสายฝนที่ทรยศ ช่วงเวลาที่น่าจดจำ เช่น การขับรถอันน่าหลงใหลของเขาในการแข่งขัน European Grand Prix ปี 1993 ที่ Donington Park ได้แสดงทักษะที่ไม่มีใครเทียบได้ของเขาและทิ้งรอยประทับที่ลบไม่ออกไว้ในใจของแฟนๆ

นอกเหนือจากการติดตาม

แม้ว่าความเฉลียวฉลาดของ Senna ในฐานะนักขับจะเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ผลกระทบของเขาก็อยู่เหนือขอบเขตของกีฬามอเตอร์สปอร์ต เขาเป็นที่รู้จักในด้านจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง จริยธรรมที่แน่วแน่ และการอุทิศตนเพื่อสร้างความแตกต่างในชีวิตของผู้อื่น มูลนิธิ Ayrton Senna ซึ่งก่อตั้งขึ้นในความทรงจำของเขายังคงสนับสนุนโครงการด้านการศึกษาในบราซิลอย่างต่อเนื่อง โดยรวบรวมความมุ่งมั่นของเขาที่มีต่อความก้าวหน้าทางสังคม

มรดกที่ยั่งยืน

เเม้หลายทศวรรษหลังจากการเสียชีวิตของเขาในการแข่งขัน San Marino Grand Prix ปี 1994 อิทธิพลของ Senna ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้นักแข่งรุ่นต่อรุ่น ความมุ่งมั่นอันแรงกล้า การแสวงหาความเป็นเลิศอย่างไม่เปลี่ยนแปลง และความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละในการผลักดันขอบเขตของสิ่งที่คิดว่าเป็นไปได้ได้ทิ้งมรดกที่ยืนยงไว้ในโลกของมอเตอร์สปอร์ต ผลกระทบของเขาขยายไปไกลเกินกว่าสถิติและการแข่งขันชิงแชมป์ ในขณะที่เขายังคงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงจิตวิญญาณของฮีโร่นักแข่งรถตัวจริง

บทสรุป

ชื่อของ Ayrton Senna จะถูกจารึกในประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ตตลอดไป พรสวรรค์ที่โดดเด่น แรงผลักดันที่ไม่หยุดยั้ง และความทุ่มเทที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเขายังคงสร้างแรงบันดาลใจและดึงดูดใจแฟนๆ ทั่วโลก ตำนานที่แท้จริงทั้งในและนอกสนาม อิทธิพลของ Senna ขยายไปไกลกว่าความสำเร็จในการแข่งรถของเขา ในขณะที่เขายังคงเป็นสัญลักษณ์ของความหลงใหล ความมุ่งมั่น และการแสวงหาความยิ่งใหญ่ที่ไร้กาลเวลา โลกของมอเตอร์สปอร์ตเป็นหนี้บุญคุณ Ayrton Senna ตลอดไป ชายผู้ทะยานเหนือขีดจำกัดและทิ้งร่องรอยที่ยากจะลืมเลือนให้กับกีฬาที่เขารัก

ลูอิส แฮมิลตัน: ตำนานนักแข่งผู้พังทลายอุปสรรค

ลูอิส แฮมิลตัน ชื่อที่สื่อถึงความเร็ว ทักษะ และความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง ได้จารึกชื่อของเขาไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ต เกิดเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2528 ในเมืองสตีเวนิจ ประเทศอังกฤษ การเดินทางของแฮมิลตันจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ น้อยๆ สู่การเป็นแชมป์โลกฟอร์มูลาวัน 7 สมัยเป็นข้อพิสูจน์ถึงความหลงใหลที่ไม่เปลี่ยนแปลงและพรสวรรค์ที่หาตัวจับยากของเขา

ตั้งแต่อายุยังน้อย เห็นได้ชัดว่าแฮมิลตันมีของขวัญหายากสำหรับการแข่งรถ รู้จักการแข่งรถโกคาร์ทตั้งแต่อายุแปดขวบ เขาฝึกฝนทักษะอย่างรวดเร็ว แสดงความเร็วและการควบคุมที่น่าทึ่งบนสนามแข่ง ขณะที่เขาเลื่อนตำแหน่ง พรสวรรค์อันน่าทึ่งของเขาได้รับความสนใจจากรอน เดนนิส ซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้าทีมของแมคลาเรน

ในปี 2550 เมื่ออายุได้ 22 ปี แฮมิลตันเปิดตัวฟอร์มูล่าวันกับทีมแมคลาเรน-เมอร์เซเดส กลายเป็นนักแข่งรถผิวดำคนแรกในประวัติศาสตร์ของกีฬาชนิดนี้ ในปีใหม่ของเขา เขาแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะที่เกินอายุของเขา แสดงการแซงที่น่าทึ่ง กลยุทธ์ที่คำนวณได้ และความสามารถที่แปลกประหลาดในการปรับตัวเข้ากับสภาพเส้นทางที่แตกต่างกัน แม้ญาติของเขาไม่มีประสบการณ์ แต่การแสดงของแฮมิลตันก็ไม่ได้ขาดความพิเศษ ทำให้เขาได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวางและท้าทายกฎของกีฬานี้

ความก้าวหน้าของแฮมิลตันเกิดขึ้นในปี 2551 เมื่อเขาเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่เพื่อชิงแชมป์กับเฟลิเป้ มาสซาแห่งเฟอร์รารี ในตอนจบที่กัดเล็บที่ Brazilian Grand Prix การแซงของแฮมิลตันในรอบสุดท้ายทำให้เขาจบอันดับที่ 5 ทำให้เขาได้รับคะแนนที่จำเป็นเพื่อแย่งแชมป์จาก Massa เพียงแต้มเดียว มันเป็นช่วงเวลาสำคัญในอาชีพของเขา ทำให้เขากลายเป็นแชมป์โลก Formula One ที่อายุน้อยที่สุดในเวลานั้น

ในปีต่อ ๆ มา แฮมิลตันยังคงเขียนบันทึกใหม่ โดยทิ้งร่องรอยที่ลบไม่ออกไว้บนวงการกีฬา การย้ายไปร่วมทีม Mercedes-AMG Petronas Formula One ในปี 2013 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความสำเร็จที่ผลักดันเขาไปสู่ความสำเร็จขั้นใหม่ ด้วยยุคไฮบริดที่โดดเด่นของเมอร์เซเดส แฮมิลตันเริ่มต้นขึ้นสู่อำนาจสูงสุด คว้าแชมป์ครั้งแล้วครั้งเล่า

นอกเหนือจากความสามารถในสนามแข่งแล้ว ผลกระทบของแฮมิลตันยังขยายไปไกลกว่าขอบเขตของมอเตอร์สปอร์ต ผู้สนับสนุนที่หลงใหลในความหลากหลาย ความเท่าเทียม และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เขาใช้แพลตฟอร์มของเขาเพื่อสร้างความตระหนักรู้และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก จากการต่อต้านความอยุติธรรมทางเชื้อชาติไปจนถึงการส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมการแข่งรถ แฮมิลตันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ระดับโลกทั้งในและนอกสนาม

การแสวงหาความเป็นเลิศอย่างไม่หยุดยั้งของเขาและความมุ่งมั่นในการก้าวข้ามขอบเขตได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักแข่งรุ่นใหม่ ทำลายอุปสรรคและเปลี่ยนโฉมหน้าของ Formula One ความสำเร็จของแฮมิลตันได้ทำลายความคิดแบบเดิมๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพรสวรรค์และความมุ่งมั่นสามารถอยู่เหนือเชื้อชาติ ภูมิหลัง และสถานการณ์ได้

ในฐานะนักแข่งรถชาวอังกฤษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟอร์มูลาวัน มรดกของลูอิส แฮมิลตันนั้นถูกยึดไว้อย่างแน่นหนา แชมป์โลก 7 สมัย ตำแหน่งโพลโพซิชันกว่า 100 ครั้ง และชัยชนะในการแข่งขัน 103 รายการทำให้เขากลายเป็นนักแข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่สถิติของเขาเท่านั้นที่กำหนดตัวเขา แต่ยังรวมถึงผลกระทบที่เขามีต่อกีฬาและสังคมโดยรวมด้วย

การเดินทางของ Lewis Hamilton เป็นข้อพิสูจน์ถึงพลังแห่งความฝัน ความยืดหยุ่น และการปฏิเสธที่จะยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ ในขณะที่เขายังคงผลักดันขอบเขตของสิ่งที่เป็นไปได้ เขายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักแข่งที่ต้องการทั่วโลก เตือนเราว่าด้วยความทุ่มเท ความกล้าหาญ และความเชื่อมั่นในตนเองที่แน่วแน่ ทุกสิ่งก็สามารถบรรลุได้ ลูอิส แฮมิลตัน ตำนานนักแข่งรถผู้ทำลายอุปสรรค จะเป็นสถานที่พิเศษในหัวใจของผู้ที่ชื่นชอบมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลกตลอดไป

MotoGP กฎ-กติกาที่ควรรู้ก่อนเริ่มดูการแข่งขัน

MotoGP คือรายการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลก ที่มีมายาวนานเริ่มตั้งแต่ปี 1949 ที่ถือเป็นฤดูกาลแรก โดยชื่อว่ารายการ World Champion Motorcycles Grand Prix และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นรายการ MotoGP ในปี 2002 หากเปรียบเทียบความยิ่งใหญ่ของการประลองความเร็ว MotoGP ก็นับเป็นรายการใหญ่ที่สุดเช่นเดียวกับรายการ F1 ของการแข่งรถยนต์ชิงแชมป์โลก โดยมีเหล่านักพนันทั่วโลกให้ความสนใจร่วมเดิมพันมากมาย

ในปี 2018 ที่ผ่านมาประเทศไทยของเรายังได้รับการบรรจุเป็นหนึ่งในสนามแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลกนี้อีกด้วย โดยเป็นสนามที่ 15 ของรายการ MotoGP จึงทำให้แฟนกีฬาที่รักความเร็วได้ให้ความสนใจต่อการแข่งขันระดับโลกนี้กว้างขวางมากขึ้น จึงขอนำเสนอกฎ กติกาพื้นฐานของการแข่งขัน เพื่อให้คนที่เพิ่งเริ่มสนใจ MotoGP ได้รับอรรถรสในการรับชมการแข่งขันมากขึ้นตามไปด้วย

ประเภทการแข่งขันและกติกาพื้นฐานของ MotoGP มีอะไรบ้างที่เราต้องรู้

การแข่งขัน MotoGP ในแต่ละฤดูกาลเดิมจะทำการแข่งขันทั้งหมด 18 สนามเพื่อทำการเก็บคะแนน โดยในฤดูกาลปี 2018-2019 ได้มีการเพิ่มขึ้นมาอีก 1 สนามนั่นก็คือ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ที่ประเทศไทยของเรานั่นเอง จึงรวมเป็นทั้งหมด 19 สนาม การเปิดฤดูกาลจะเริ่มต้นประมาณเดือนมีนาคม และปิดฤดูกาลช่วงเดือนพฤศจิกายน

การแข่ง MotoGP แต่ละสนาม จะใช้เวลาแข่งทั้งหมด 3 วัน โดยจะแบ่งดังนี้

วันที่ 1 Practice Day ขี่ FP1 และ FP2 นั่นคือ Free Practice หรือการซ้อมโดยการขี่ FP1 และ FP2 ใช้เวลา 45 นาที ทำการจับเวลา

วันที่ 2 Qualifying Day ขี่ FP3, FP4 และ Q1, Q2 โดยวันที่ 2 จะแบ่งเป็น 2 ช่วง

-เริ่มจากช่วงแรก การขี่ FP3 จะทำการจับเวลา 45 นาที ซึ่งการขี่ FP1-FP3 ตั้งแต่วันที่ 1-วันที่ 2 จะมีการเลือกเวลาที่ดีที่สุดของนักแข่งแต่ละคน ซึ่งนักแข่ง 10 อันดับแรกที่ทำเวลาดีที่สุดจะผ่านเข้าสู่รอบ Q2 หรือ Qualifying Q2 ส่วนนักแข่งที่เหลือตั้งแต่ลำดับที่ 11 เป็นต้นไปจะเข้าสู่รอบ Qualify Q1

-ช่วงที่ 2 การซ้อม หรือ Free Practice 4 จะใช้เวลา 30 นาที แต่ไม่จับเวลา ถือเป็นแค่การซ้อมและปรับเซ็ตรถก่อนรอบ Qualifying Q1 และ Q2 ซึ่งรอบ Qualifying Q1 ใช้เวลา 15 นาที สำหรับการจัดลำดับกริดสตาร์ทตั้งแต่ลำดับที่ 13 เป็นต้นไป

-ส่วน Qualifying Q2 ใช้เวลา 15 นาทีเช่นกัน ใช้สำหรับการจัดลำดับกริดสตาร์ทของนักแข่งตั้งแต่ลำดับที่ 1-12 (นำนักแข่ง 10 อันดับแรกที่สามารถทำเวลาดีที่สุดจากการซ้อม FP 3 รอบแรก และนักแข่ง 2 ลำดับแรกจากรอบ Q1 มาแข่งเพื่อจัดอันดับสตาร์ทลำดับที่ 1-12 นั่นเอง)

วันที่ 3 Race Day แบ่งเป็น 2 ช่วงคือการขี่ WUP และ RAC

-WUP คือ Warm up หรือการอุ่นเครื่องและเป็นการปรับเซ็ตรถครั้งสุดท้ายก่อนการแข่งขัน

-Race  คือช่วงที่เข้าสู่การแข่งขันจริง โดยนักแข่งจะขี่เพื่อวอร์มอัพก่อน 1 รอบโดยหากในรอบวอร์มอัพ รถของนักแข่งเกิดปัญหา เช่น ต้องเปลี่ยนรถ นักแข่งสามารถขับรถเข้าพิท (Pit ) ได้เลย แต่ตอนที่ออกสตาร์ทในตอนแข่งจริงจะต้องออกสตาร์ทจากพิทเลน (Pit Lane) เท่านั้น

 การเก็บคะแนนของแต่ละสนาม การให้คะแนนของลำดับที่ 1 – 5 คือ 25, 20, 16, 13 และ 11 คะแนน ตามลำดับ ตั้งแต่ลำดับที่ 6 ได้ 10 คะแนน และลดหลั่นไปลำดับละ 1 คะแนนจนถึงอันดับสุดท้ายคืออันดับที่ 15 คือได้ 1 คะแนน ส่วนนักแข่งที่ต่ำกว่าลำดับที่ 15 จะไม่ได้คะแนน

การลงโทษนักแข่ง หากทำผิดกติกา จะใช้ระบบสะสมคะแนนความประพฤติในสนามแข่ง เช่น การขับขี่ที่หวาดเสียว พฤติกรรมก้าวร้าวในสนาม เป็นต้น แบ่งเป็นการลงโทษ 3 ระดับได้แก่

-ระดับที่ 1 คะแนนความประพฤติถึง 4 คะแนน จะถูกลงโทษให้นักแข่งออกสตาร์ทแถวหลังสุด

-ระดับที่ 2 สะสมครบ 7 คะแนน จะได้ออกสตาร์ทจาก Pit Lane ซึ่งมีการจำกัดความเร็วที่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

-ระดับที่ 3 ครบ 10 คะแนนจะได้รับโทษด้วยการถูกสั่งห้ามแข่งขันในสนามต่อไปในทันที

ทั้งหมดนี้เป็นกติกาและสิ่งที่ควรรู้พื้นฐานในการดูรายการแข่งขัน MotoGP แบบคร่าว ๆ รู้แล้วรับรองว่าจะทำให้แฟน ๆ สายนักซิ่งที่พร้อมจะร่วมเชียร์นักแข่งระดับโลก ได้ลุ้นและเข้าถึงอารมณ์การแข่งขันได้ดีมากขึ้นอย่างแน่นอน

Pit Stop คืออะไรและมีหน้าที่สำคัญอย่างไรในสนามแข่ง F1

พิทสต็อป (Pit Stop) คือพื้นที่หรือตำแหน่งที่นักแข่งรถของแต่ละทีมใช้สำหรับซ่อมแซมรถ หรือปรับปรุงรถทั้งก่อนแข่ง ระหว่างแข่งและหลังแข่ง ยามที่เราได้ชมการแข่งขันรถฟอร์มูลาวัน (Formula 1) ซึ่งเป็นสุดยอดของการประลองความเร็วของนักแข่งรถในระดับโลก เรามักจะเห็นว่าในสนามแข่งขันนั้นมีจุดที่นักแข่งจะต้องขับเข้าไปเปลี่ยนอุปกรณ์รถในช่วงหนึ่งของการแข่งขันด้วยความรวดเร็ว ซึ่งในวงการแข่งรถเรียกว่าจุดพิทสต็อป ( Pit Stop) หรือพิท (Pit) หรือจะเรียกอีกชื่อว่า Cockpit ก็ได้

พิทสต็อป (Pit Stop) ส่วนสำคัญของทีมแข่งรถระดับมืออาชีพที่ขาดไม่ได้      

ในสนามแข่งขัน Formula 1 การทำ Pit Stop นั้นมีความสำคัญมาก ๆ การแข่งขันที่นักขับต้องใช้ความเร็วเพื่อทำเวลาให้ดีที่สุดเพื่อที่จะเก็บคะแนนให้สูงที่สุดในแต่ละสนาม ดังนั้นเวลาทุกวินาทีย่อมมีค่ามาก ๆ เพราะเมื่อถึงเวลาที่นักแข่งขับเข้าพิท แปลว่ารถจะต้องหยุด แต่เวลาในการแข่งขันนั้นไม่ได้หยุดตามไปด้วย ซึ่งการแข่ง F1 นั้นมีกฎให้รถจะต้องเข้าพิทสต็อปของทีมอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสนามแข่งขัน และใช้เวลาไม่เกิน 10 วินาทีต่อการเข้าพิท 1 ครั้ง

เหตุผลที่รถแข่งจะต้องเข้าพิทนั่นก็คือ ในแต่ละสนามจะแข่งกันที่ระยะทาง 300 กิโลเมตร หรือนับเป็นรอบจะอยู่ที่ 50-70 รอบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความยาวรอบต่อรอบในแต่ละสนาม การเข้าพิทเพื่อเปลี่ยนยางในระหว่างการแข่งขันจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญมาก ๆ และบางครั้งอาจจะเกิดอุบัติเหตุในสนาม ทำให้ต้องขับเข้าพิทเพื่อมาซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอะไหล่หากเกิดความเสียหายกับตัวรถ

ตำแหน่งพิทสต็อปนั้น จะต้องมีการขับเข้าพิทเลน (Pit Lane) มาก่อนด้วยความเร็วที่กำหนดซึ่งจะตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของโรงเก็บรถของทีมรถแข่งนั้น ๆ เพื่อให้สะดวกต่อการขนย้ายอุปกรณ์เพื่อมาเซอร์วิสรถแข่งของทีม และความสำคัญของตำแหน่งพิทสต็อปนั้น ถูกกำหนดมาจากอันดับ Ranking ของทีมในฤดูกาลที่ผ่านมา หากทีมอยู่ในอันดับต้น ๆ ก็จะได้ตำแหน่งชองจุดพิทสต็อปใกล้กับปากทางเข้าของ Pit Lane ทำให้นักแข่งได้เปรียบจากการขับเข้าพิทง่ายมากขึ้นนั่นเอง

เมื่อทุกเสี้ยววินาทีในสนามนั้นมีความหมาย ทีมแข่ง F1 แต่ละทีมจึงต้องมีทีมงานที่ถูกเรียกว่า Pit Crew เป็นผู้ทำหน้าที่เปลี่ยนยางหรืออะไหล่ให้กับรถของนักแข่ง โดยต้องทำเวลาให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะช่วยให้นักแข่งของทีมตัวเองนั้นทำเวลาในสนามได้ดีที่สุด ซึ่งจุดนี้เป็นอีกหนึ่งสีสันของการแข่งขันเลยก็ว่าได้ เพราะทุกคนต้องทำงานกันรวดเร็วว่องไวปานจรวด

การทำงานของ Pit Crew ซึ่งมีอยู่ประมาณ 15-20 คน โดยจะถูกแบ่งหน้าที่กันชัดเจน เมื่อไหร่ที่รถเข้ามาที่จุดพิทสต็อป จะมีเจ้าหน้าที่ประจำจุดเปลี่ยนยางทั้งหมด 4 เส้นต้องมีคนยกแม่แรง ขันน็อตล้อ ใส่ล้อ ซึ่งต้องอาศัยการฝึกซ้อมเพื่อความแม่นยำและรวดเร็วมาก ๆ และการทำงานจะถูกบันทึกเวลาเพื่อสร้างสถิติใหม่ไว้ทุกครั้ง ยิ่งใช้เวลาน้อยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้เปรียบมากเท่านั้น

จุดพิทจึงเป็นอีกเอกลักษณ์หนึ่งที่คนรัก F1 ชอบและมักจะลุ้นไปกับการทำเวลาของพวกเขาทุกครั้ง ดังนั้นจุดพิทสต็อปและทีมงานที่ทำหน้าที่ทั้งหมดจึงถือว่าเป็นส่วนสำคัญมากและเป็นอีกหนึ่งพลังที่ช่วยสร้างชัยชนะของนักแข่งได้ทุกเสี้ยววินาที

อัพเดทสนามแข่งรถ MotoGP 19 สนามทั่วโลก แต่ละที่มีจุดเด่นอย่างไรบ้าง

รายการแข่ง MotoGP สุดยอดรายการแข่งรถมอเตอร์ไซค์ทางเรียบต้องใช้สนามแข่งถึง 19 สนามเพื่อชิงชัยกันในแต่ละฤดูกาลเลยทีเดียว มาดูกันว่าแต่ละสนามนั้นอยู่ที่ไหนบ้างและมีจุดเด่นที่น่าสนใจอย่างไร

สนามที่ 1 : Losail International Circuit ประเทศกาตาร์ (QATAR GP)  

สนามแห่งนี้มีลักษณะของภูมิประเทศเป็นทะเลทราย จึงมีสภาพภูมิอากาศที่ร้อนจัด มีระยะทาง 5.4 กิโลเมตร จำนวนทางโค้ง 16 โค้ง จึงต้องจัดการแข่งขันในเวลากลางคืน หรือแบบ Night Race  

Highlight : โค้งที่ 10 ซึ่งเป็นโค้งหักศอกถึงเกือบ 90 องศา และโค้งที่ 16 ที่เป็นโค้งสุดท้ายก่อนที่นักแข่งจะสามารถบิดเร่งความเร็วสำหรับทางตรงก่อนเข้าเส้นชัย

สนามที่ 2 : Termas de Rio Hondo Circuit ประเทศอาร์เจนตินา (ARGENTINA GP)

สนาม Termas de Rio Hondo Circuit มีระยะทาง 4.8 กิโลเมตร และมีโค้ง 14 โค้ง

Highlight : จุดเด่นของสนามจะอยู่ในโค้งที่ 3 โค้งยูเทิร์นซึ่งมีความลาดเล็กน้อย ถือเป็นจุดท้าทายและอันตราย หากนักแข่งพลาดก็มีโอกาสหลุดโค้งได้เสมอ

สนามที่ 3 : Circuit of the Americas ประเทศสหรัฐอเมริกา (AMERICAS GP)

สนามที่ 3 นี้ มีระยะทาง 4.8 กิโลเมตร โค้งทั้งหมด 20 โค้ง ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้แข่งรถ Formula 1 ทำให้มีโค้งหลายรูปแบบและมีความโหดมากทีเดียว

Highlight : อยู่ที่โค้งที่ 11 ซึ่งเป็นโค้งก่อนทางตรง นักแข่งจะเร่งความเร็วสุงสุดเพื่อแซงนักแข่งคนอื่น ๆ หรือพลิกเกมได้จากโค้งที่ 11 นี้

สนามที่ 4 : Circuit de Jerez ประเทศสเปน (SPANISH GP)

เป็นสนามที่มีระยะทาง 4.4 กิโลเมตร โค้ง 13 โค้ง

Highlight : โค้งที่ 6 โค้งยูเทิร์นนี้ รอปราบเซียนนักแข่งที่หากบิดกันเพลินจากช่วงทางตรงก็อาจจะพลาดท่าได้เหมือนกัน

สนามที่ 5 : Le Mans ประเทศฝรั่งเศส (FRENCH GP)

มีระยะทาง 4.2 กิโลเมตร โค้ง 14 โค้ง สนามนี้ถูกใช้เป็นสนามแข่งขัน “The 24 Hours of Le Mans” หรือการแข่งขันรถที่ใช้ความเร็วสูงต่อเนื่องถึง 24 ชั่วโมง

Highlight : ตัวสนามมีโค้งที่สุดแสนจะโหด โดยเฉพาะโค้งที่ 13 และ 14 ที่เป็นโค้งแคบต่อเนื่องกัน ถือเป็นจุดที่นักแข่งสามารถพลิกโอกาสในการขึ้นนำนักแข่งคนอื่น ๆ ได้เลย

สนามที่ 6 : Autodromo di Mugello ประเทศอิตาลี (ITALIAN GP)

มีระยะทาง 5.2 กิโลเมตร มี 15 โค้ง ตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือเมืองฟลอเรนซ์ ถูกขนานนามว่าเป็นสนามแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ทางเรียบที่สวยงามที่สุด

Hilight : โค้งที่ 6 และ 7 เป็นจุดที่ผู้นำมักถูกแซง เนื่องจากลักษณะโค้งถัดไปถูกวางไว้ให้นักบิดต้องชะลอความเร็วเพื่อเตรียมตัวเข้าโค้งต่อไป

สนามที่ 7 : Circuit de BarcelonaCatalunya ประเทศสเปน (CATALAN GP)

มีระยะทาง 4.7 กิโลเมตร มี 13 โค้งถือเป็นสนามที่ทันสมัยที่สุด มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิเช่น ร้านอาหาร ศูนย์สื่อสารต่าง ๆ รวมถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์

Highlight : โค้งที่ 3 ต่อเนื่องยาวไปโค้งที่ 4 เป็นโค้งยาวสามารถไต่ความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง ถ้านักแข่งสามารถบิดเข้าโค้งไฮสปีดนี้ได้ ก็จะได้เปรียบนักแข่งคนอื่นทันที         

สนามที่ 8 : TT Circuit Assen ประเทศสเปน (DUTCH GP)

มีระยะทาง 4.5 กิโลเมตร โค้ง 18 โค้ง ถูกขนานนามว่าเป็น “The Cathedral” ความยากและท้าทายของสนามแห่งนี้ คือสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างมาก ทั้งฝนตกและมรสุม

Highlight : โค้งที่ 16 17 18 เป็นโค้งตัว S ก่อนเข้าทางตรง Grandstand นักแข่งต้องมีทักษะการเบรกและพลิกตัวอย่างรวดเร็วเพื่อบิดเร่งทำความเร็วอีกครั้ง

สนามที่ 9 : Sachsenring ประเทศเยอรมนี (GERMAN GP)

มีระยะทางถือว่าสั้นที่สุดเพียง 3.7 กิโลเมตร และมีโค้ง 13 โค้ง

Highlight: ระหว่างโค้ง 12 และ 13 เป็นทางตรงเชื่อมระหว่าง 2 โค้ง ตัวโค้งมีความลาดเอียง ทำให้ความเร็วจากการเร่งจะเพิ่มขึ้น และโค้งที่ 13 นี้เองก็จะทำให้นักแข่งบางคนไถลหลุดโค้งได้

สนามที่ 10 : Automotodrom Brno ประเทศสาธารณรัฐเช็ก (CZECH GP)

สนามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีระยะทาง 5.4 กิโลเมตร ทั้งหมด 14 โค้ง ด้วยสถานที่ที่เป็นแอ่งกระทะทำให้พื้นผิวสนามมีลูกเล่นไล่ระดับไปกับภูมิประเทศแบบเนิน

Highlight : โค้งที่ 10 เป็นรูปแบบของโค้งไฮสปีดที่นักแข่งจะลดความเร็วจากทางตรงเพื่อมาวัดใจกันในโค้งนี้

สนามที่ 11 : Red Bull Ring Spielberg ประเทศออสเตรีย (AUSTRIA GP)

มีระยะทาง 4.3 กิโลเมตร โค้ง 10 โค้ง ทางตรงของสนามนั้นมีความลาดชัน และมีระดับสูง-ต่ำสลับกันไปมา

Highlight : รูปแบบของสนามที่มีความสูงต่ำสลับกันไปมาในทางตรงยาว ทำให้นักแข่งต้องระวังในการเปิดคันเร่งและเบรกให้ดี

สนามที่ 12 : Silverstone Circuit ประเทศอังกฤษ (GREAT BRITAIN GP)

มีระยะทางของสนามยาวที่สุดคือ 5.9 กิโลเมตร จำนวน 18 โค้ง จึงทำให้มีจำนวนรอบการแข่งน้อยกว่าสนามอื่นซึ่งมีเพียง 20 รอบ

Highlight : โค้งที่ 14 มี ทางตัด 90 องศา ก่อนเข้าโค้งนี้มีเส้นทางตรงระยะสั้นหลังจากโค้ง 12 และ 13 บังคับให้นักแข่งเปิดคันเร่งเพื่อขึ้นเนินในโค้งที่ 14 หากนักแข่งไม่ระวังตัวจากองศาของตัวโค้งนี้ก็อาจจะพลาดท่าได้ง่าย

สนามที่ 13 : Marino World Circuit Marco Simoncelli ประเทศอิตาลี (SAN MARINO GP)

สนามนี้มีระยะทาง 4.2 กิโลเมตร 16 โค้ง มีศักยภาพที่สามารถรองรับการแข่งขันทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เป็นสนามที่มีพลังงานสะอาดและระบบที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยไม่มีการปล่อยมลพิษ

Highlight : สำหรับเหล่านักแข่ง คือทางตรงยาวในหลายจุดที่สามารถใช้ความเร็วได้เต็มที่ แต่ก็มีจุดที่นักแข่งต้องระวัง คือสภาพอากาศที่มีความชื้นสูงโอกาสที่ฝนจะตกบ่อยจนกลายเป็นการแข่งแบบ Wet Race และจุดโค้งที่ 14 ซึ่งเป็นโค้งตัว U หากนักแข่งไม่ระวังอาจจะพลาดไถลออกโค้งได้

สนามที่ 14 : Motorland Aragon ประเทศสเปน (ARAGON GP)

 มีระยะทาง 5.1 กิโลเมตร มี 17 โค้ง เป็นสนามที่มีความครบครัน ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย โรงแรม แหล่งช้อปปิ้ง และศูนย์วิจัยการกีฬา

Highlight : ในโค้งที่ 16 โค้งตัดสินชะตาของนักแข่ง ก่อนที่จะบิดคันเร่งเต็มกำลังในทางตรงที่ยาว 968 เมตร

สนามที่ 15 : Chang International Circuit ประเทศไทย (Thai GP)

มีระยะทาง 4.5 กิโลเมตร โค้ง 12 โค้ง ได้รับการออกแบบจาก คุณ Hermann Tilke ชาวเยอรมัน อดีตนักแข่งและสถาปนิกที่ผ่านการออกแบบสนามแข่งระดับโลกหลาย ๆ แห่งมาแล้ว

Highlight : สามารถรองรับการแข่งขัน Formula 1 ได้ เพราะเป็นสนามที่สามารถทำความเร็วได้กว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมถึงความเร็วในโค้งร่วม 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง นอกจากนี้ในโค้งสุดท้ายโค้งที่ 12 เป็นโค้งวัดชะตาก่อนเข้าทางยาวนำสู่เส้นชัย เป็นโค้งที่ออกแบบมาเพื่อที่ให้ผู้ตามสามารถกลายเป็นผู้นำด้วยจังหวะเพียงพริบตา

สนามที่ 16 : Twin Ring Motegi ประเทศญี่ปุ่น (JAPANESE GP)

มีระยะทาง 4.8 กิโลเมตร โค้ง 14 โค้ง สนามนี้มี Honda Collection Hall พิพิธภัณฑ์ที่เก็บประวัติศาสตร์ทุกเรื่องของฮอนด้า รวมถึงต้นแบบหุ่นยนต์อาซิโมก่อนจะเป็นหุ่นยนต์ขวัญใจคนทั่วโลก

Highlight: สนามนี้มีโค้งตัว U อยู่หลายจุด เบรกจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุด หากผิดพลาดในช่วงท้ายอาจพลาดเสียอันดับให้นักบิดคนอื่นได้

สนามที่ 17 : Phillip Island ประเทศออสเตรเลีย (AUSTRALIAN GP)

สนามใกล้ชายทะเล ที่มีวิวทิวทัศน์การแข่งขันผสานกับวิวทะเลที่ยาวสุดลูกหูลูกตา ระยะทางทั้งหมด 4.4 กิโลเมตร มี 12 โค้ง

Highlight : โค้ง 10 เป็นทางโค้งแคบแบบปิดมุมคล้ายตัว V และยากต่อการมองเห็น และต้องใช้ความเร็วสูงเพื่อจะรักษาพ้นโค้งให้ได้ ซึ่งนักแข่งต้องใช้ทักษะค่อนข้างสูง

สนามที่ 18 : Sepang International Circuit ประเทศมาเลเซีย (MALAYSIAN GP)

มีระยะทาง 5.5 กิโลเมตร โค้ง 15 โค้ง ขึ้นชื่อว่าเป็นสนามแห่งความเร่าร้อน เพราะคลื่นความร้อนจากภูมิประเทศแผ่สู้กับฟอร์มความร้อนแรงของนักแข่ง สนามแห่งนี้ต้องใช้ทักษะในการขับขี่ที่ค่อนข้างสูง

Highlight : โค้งที่ 15 เนื่องจากมีทางตรงก่อนเข้าและหลังออกจากโค้ง นักแข่งจึงใช้ความเร็วอย่างเต็มกำลังในทางตรงก่อนเข้าโค้งและควบคุมรถให้ดีหลังจากออกจากโค้งที่ 15 นี้

สนามที่ 19 : Circuit Ricardo Tormo ประเทศสเปน (VALENCIA GP)

มีระยะทาง 4.0 กิโลเมตร 14 โค้ง จุดเด่นคือเป็นสนามปิดท้ายฤดูกาล หรือที่รู้จักกันในชื่อ Circuit de Valencia  สนามมีความแคบของแทร็กเป็นอาวุธ ทำให้แซงกันได้ยากพอสมควร

Highlight : สนามแห่งนี้เป็นไฮไลท์ตบท้ายรายการนี้ ด้วยความแคบของสนามแข่งขันที่กว้างเพียง 12 เมตรทำให้เกิดความยากในการแซงของนักแข่ง ตัวนักแข่งต้องใช้ความสามารถในการควบคุมรถและไหวพริบในการโค้งค่อนข้างมาก

ทั้งหมด 19 สนามของรายการ MotoGP แต่ละสนามนับว่ามีความท้าทายที่แตกต่างกันไป ทำให้รู้ว่านักแข่งกว่าจะได้แชมป์มานั้นต้องมีทั้งทักษะและความสามารถในการขับขี่รถในสนามแข่งมากเลยทีเดียว

Michael Schumacher ตำนานนักแข่งแห่ง Formula 1

วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับราชานักแข่งรถสูตรหนึ่งหรือ Formula 1 ชาวเยอรมัน ผู้ที่เป็นนักแข่งในระดับตำนาน ที่นักพนันทั่วโลกรู้จักกันดี นั่นคือ “มิคาเอล ชูมัคเคอร์” (Michael Schumacher)

ชูมัคเกอร์ เคยเป็นนักแข่งรถที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกที่สร้างกำไรในการเดิมพันทุกรายการสูงมาก จุดเริ่มต้นในวัยเด็กของเขาคือการขับรถโกคาร์ทในสนามที่พ่อของเขาสร้างไว้ให้ในบ้านตั้งแต่อายุได้ 4 ขวบ การได้รับการสนับสนุนจากผู้เป็นพ่อ “โรลฟ์ ชูมัคเคอร์” ซึ่งเป็นผู้จัดการสนามแข่งรถคาร์ทท้องถิ่น ณ เมืองเคอร์เพน ประเทศเยอรมัน ทำให้เขาได้ร่วมการแข่งขันรถโกคาร์ทครั้งแรกตั้งแต่อายุ 12 ปี และยังสามารถชนะการแข่งขันทั้งในเยอรมนีและในทวีปยุโรปอีกหลายรายการ

จุดเริ่มต้นและไทม์ไลน์ของการเข้าสู่วงการแข่งรถ Formula 1 ของชูมัคเกอร์

ปี 1991 ชูมัคเคอร์ได้รับเลือกให้เข้าแข่งขันฟอร์มูลาวัน ในรายการ เบลเยียม กรังปรีซ์ แต่ยังเป็นตัวสำรองในทีมแข่งรถจอร์แดน รายการแรกของเขาก็ทำให้คนประหลาดใจด้วยการควอลิฟายได้เป็นอันดับ 7 ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ดีเยี่ยมสำหรับรายการแรกของเขา

ต่อมาประมาณปี 1992 เขาได้ย้ายทีมไปอยู่กับ เบเนตอง ฟอร์ด จนในที่สุดเขาก็คว้าแชมป์เป็นรายการแรกของคือ รายการเบลเยียมกรังปรีซ์และยังได้รับรางวัลนักแข่งเป็นอันดับที่ 3 ของรายการ

ปี 1996 ชูมัคเคอร์ได้ย้ายค่ายอีกครั้งด้วยการจากทีมเบเนตอง เพื่อไปร่วมทีมเฟอร์รารี ทั้งที่ผู้คนต่างมองว่าเป็นความเสี่ยงต่ออาชีพนักแข่งของเขา เพราะทีมเฟอร์รารีไม่ได้แชมป์ในรายการ F1 มานานมากแล้ว แต่ชูมัคเคอร์ก็สามารถพาทีมเฟอร์รารีได้แชมป์โลกติดต่อกันตั้งแต่ปี 2000-2004

แต่แล้วทุกอย่างต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากชูมัคเคอร์ประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงในระหว่างการแข่งกรังปรีซ์ที่ประเทศอังกฤษ เกิดจากรถของชูมัคเคอร์ได้ไถลออกนอกเส้นทางและเสียหลักพลิกคว่ำ ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถเข้าแข่งในอีก 6 สนามที่เหลือของฤดูกาลได้และถูกพักรักษาตัวเป็นเวลานาน แม้ว่าชูมัคเคอร์จะสามารถกลับมาแข่งขัน F1 อีกครั้ง แต่เขาก็ได้ประกาศถอนตัว แขวนพวงมาลัยไปในปี 2006

ปี 2010 มิคาเอล ชูมัคเคอร์สร้างความประหลาดใจด้วยการหวนสู่วงการ F1 อีกครั้ง แต่เป็นการร่วมทีมกับเมอร์เซเดส กรังปรีซ์ และยุติชีวิตการเป็นนักแข่งอีกครั้งในปี 2012

อย่างไรก็ตาม ในชีวิตการเป็นนักแข่งรถสูตรหนึ่งของมิคาเอล ชูมัคเคอร์ เขาก็ได้สร้างตำนานให้กับวงการนักแข่งรถ ด้วยการครองแชมป์โลก ถึง 7 ครั้ง ชนะในรายการแข่ง Formula 1 ถึง 91 ครั้ง สามารถขึ้นไปยืนบนแท่นโพเดียมได้บ่อยถึง 155 ครั้ง ! และยังได้กลายเป็นบุคคลที่เป็นที่ชื่นชอบและเป็นแรงบันดาลใจให้กับบรรดานักแข่งรถรุ่นใหม่อีกหลาย ๆ คน

อุบัติเหตุจากสกีที่ไม่คาดฝัน ทำให้ราชานักแข่งรถกลับกลายเป็นเจ้าชายนิทรา

เดือนธันวาคม ปี 2013 ชูมัคเคอร์ได้ออกเดินทางไปเล่นสกี ซึ่งเป็นหนึ่งในกีฬาที่เขาชื่นชอบมาก ในพื้นที่เล่นสกี เมริเบล ประเทศฝรั่งเศส โดยชูมัคเคอร์เริ่มต้นที่ความสูง 2,700 เมตร ระหว่างที่เขาสกีลงมา ชูมัคเคอร์เกิดเสียหลัก ทำให้เขาพุ่งไปยังแอ่งที่มีหิมะตกใหม่และศีรษะกระแทกกับโขดหินทำให้หมวกนิรภัยที่สวมใส่ชำรุด จนเขาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง ชูมัคเคอร์ได้รับการส่งตัวเพื่อรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน หลังการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนั้น เขาได้รับการผ่าตัดสมองและอยู่ในอาการที่น่าเป็นห่วง

ข่าวการเกิดอุบัติเหตุของชูมัคเคอร์ได้แพร่กระจายไปสู่บรรดาแฟน ๆ นักพนัน และผู้คนทั่วโลก รวมถึงสื่อมวลชนต่าง ๆ ที่คอยทำข่าว แม้ว่าในปัจจุบันชูมัคเคอร์จะสามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้านพักของตัวเองได้แล้ว แต่บรรดาแฟน ๆ ของเขาก็ยังเป็นห่วงและยังคอยติดตามเพื่อให้กำลังใจและหวังว่าอาการของเขาจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ในเร็ววัน

10 ทีมแข่งรถ Formula 1 ผู้ยืนหยัดในฤดูกาล 2020

การแข่งขันรถ Formula 1 เป็นรายการแข่งขันรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และยังมีแฟน ๆ Fun88 ที่คอยติดตามชมการแข่งขัน รวมทั้งลงเดิมพันกีฬานี้อย่างเหนียวแน่นในทุกฤดูกาล ซึ่งการแข่งรถ F1 จะมีทั้งหมด 10 ทีม มาดูกันดีกว่าว่ามีทีมไหนบ้างที่ได้เข้าแข่งขันของฤดูกาล 2020 เพื่อเป็นทางเลือกให้นักพนันความเร็วเช่นคุณ

1.MercedesAMG Petronas F1 Team

เริ่มที่ทีมแรกซึ่งเป็นทีมแชมป์โลกทีมล่าสุด Mercedes-AMG Petronas F1 เริ่มการแข่งครั้งแรกในปี 1954 และเลิกไป จนกลับมาอีกครั้งภายใต้ชื่อ Mercedes GP ในปี 2010 จนในที่สุดมาแรงแซงโค้งสามารถคว้าแชมป์โลกภายใต้ทีมผู้ผลิตไปถึง 6 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี 2014-2019 และนักแข่งคว้าแชมป์ได้ถึง 8 ครั้ง ภายใต้นักแข่งคนเดียวกันคือ Lewis Hamilton

2.Scuderia Ferrari

ทีมเก่าแก่ของวงการ F1 ร่วมแข่งขันตั้งแต่ปี 1950 ถือเป็นทีมที่เคยคว้าแชมป์โลกได้มากที่สุดทั้งในส่วนของผู้สร้าง 16 ครั้งและนักขับ 15 ครั้ง โดยในฤดูกาล 2019 จบการแข่งขันเป็นอันดับที่ 2

3.Aston Martin Red Bull Racing

ทีม Aston Martin Red Bull Racing เข้าแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 2005 ด้วยการซื้อทีมต่อจาก Ford Motor Company มีชื่อทีมว่า Jaguar Racing ทางทีมมีนักแข่งตัวฉกาจอย่าง “Mad Max” หรือ Max Verstappen ทำให้ทีมเป็นที่น่าจับตามองอีกครั้ง แม้จะได้อันดับที่ 3 ของฤดูกาล 2019

4.McLaren F1 Team

ชื่อของค่ายรถยนต์ดังของประเทศอังกฤษ McLaren เริ่มต้นเข้าวงการ F1 ตั้งแต่ปี 1966 โดย Bruce McLaren ผลงานของทีม McLaren เคยได้รับแชมป์ในนามของทีมผู้สร้างรวม 8 ครั้ง และผลงานแชมป์ในนามนักขับ 12 สมัย

5. Renault F1 Team

ทีม Renault ได้เข้าร่วมการแข่งขัน F1 ในปี 1977 ส่วนปี 2002 ได้ซื้อทีมต่อมาจาก Benetton Formula Limited จนกระทั่งทีมสามารถคว้าแชมป์แรกได้โดยนักแข่งที่ชื่อ Fernando Alonso ในรายการ 2003 Hungarian Grand Prix

6. Scuderia Toro Rosso

ทีมน้องร่วมสายเลือดเดียวกับทีมพี่อย่าง Red Bull Racing ก่อตั้งทีมตั้งแต่ปี 2006 โดยเจ้าของ Red Bull (Dietrich Mateschitz) ต้องการให้ทีมน้องเป็นเหมือนทีมฝึกหัดเยาวชน เพื่อเตรียมพร้อมสู่ทีมใหญ่อย่าง Red Bull Racing

7. BWT Racing Point Formula One Team

ทีม BWT Racing Point เป็นทีมที่รับช่วงต่อมาจาก Force India และล่าสุดผู้บริหารของทีมได้เข้าซื้อหุ้น Aston Martin 20% และเตรียมจะเปลี่ยนชื่อทีมไปเป็น Aston Martin ในฤดูกาล 2021 อีกด้วย

8. Alfa Romeo Racing

เริ่มต้นเข้าแข่งขัน F1 ในปี 1950-1951โดยนักแข่งสามารถคว้าแชมป์ได้ทั้งสองปี แต่ทีมก็ต้องหยุดแข่งไปเพราะประสบกับปัญหา และกลับมาแข่งในปี 1979 อีกครั้งภายใต้ชื่อทีม Alfa Romeo 177 แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จ  จนกระทั่งฤดูกาล 2018 ที่ Alfa Romeo ได้เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับทีม Sauber ใช้ชื่อทีมว่า Alfa Romeo Sauber F1 และจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 8 จนมาเปลี่ยนชื่อเป็น Alfa Romeo Racing อย่างเป็นทางการ

9. Haas

ทีมสายเลือดอเมริกันที่เริ่มต้นมาจากการเป็นทีมแข่ง Nascar ในสหรัฐ ฯ มาก่อน ก่อนจะมาเข้าวงการรถสูตรหนึ่งในปี 2016 ความสำเร็จของทีมคือสามารถเก็บแต้มขึ้นไปได้ถึงอันดับ 6 ในสนามแรกของรายการ Austrarian Grand Prix

10. ROKiT Williams Racing

อดีตเคยเป็นทีมที่กวาดแชมป์นับไม่ถ้วน เริ่มต้นก่อตั้งทีมในปี 1977 จากนั้นทั้งในฐานะทีมและนักขับต่างก็พากันเก็บแต้มจนได้เป็นแชมป์โลกภายในเวลาไม่กี่ปี ผลงานของทีมในฤดูกาลล่าสุดสามารถเก็บแต้มมาได้เพียงแต้มเดียวจากการแข่งขันรวมทั้งหมด 21 สนาม

ได้รู้จักทีมที่เข้าแข่งขัน Formula 1 ฤดูกาล 2020 ทั้งหมด 10 ทีมแล้วซึ่งเราเรียงตามลำดับของทีมจากผลงานในฤดูกาลที่แล้วคือปี 2019 ต่อไปมาลุ้นว่าทีมโปรดของคุณจะสามารถทำอันดับได้ดีขึ้นในฤดูกาลใหม่หรือไม่