ลูอิส แฮมิลตัน: ตำนานนักแข่งผู้พังทลายอุปสรรค

ลูอิส แฮมิลตัน ชื่อที่สื่อถึงความเร็ว ทักษะ และความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง ได้จารึกชื่อของเขาไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ต เกิดเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2528 ในเมืองสตีเวนิจ ประเทศอังกฤษ การเดินทางของแฮมิลตันจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ น้อยๆ สู่การเป็นแชมป์โลกฟอร์มูลาวัน 7 สมัยเป็นข้อพิสูจน์ถึงความหลงใหลที่ไม่เปลี่ยนแปลงและพรสวรรค์ที่หาตัวจับยากของเขา

ตั้งแต่อายุยังน้อย เห็นได้ชัดว่าแฮมิลตันมีของขวัญหายากสำหรับการแข่งรถ รู้จักการแข่งรถโกคาร์ทตั้งแต่อายุแปดขวบ เขาฝึกฝนทักษะอย่างรวดเร็ว แสดงความเร็วและการควบคุมที่น่าทึ่งบนสนามแข่ง ขณะที่เขาเลื่อนตำแหน่ง พรสวรรค์อันน่าทึ่งของเขาได้รับความสนใจจากรอน เดนนิส ซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้าทีมของแมคลาเรน

ในปี 2550 เมื่ออายุได้ 22 ปี แฮมิลตันเปิดตัวฟอร์มูล่าวันกับทีมแมคลาเรน-เมอร์เซเดส กลายเป็นนักแข่งรถผิวดำคนแรกในประวัติศาสตร์ของกีฬาชนิดนี้ ในปีใหม่ของเขา เขาแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะที่เกินอายุของเขา แสดงการแซงที่น่าทึ่ง กลยุทธ์ที่คำนวณได้ และความสามารถที่แปลกประหลาดในการปรับตัวเข้ากับสภาพเส้นทางที่แตกต่างกัน แม้ญาติของเขาไม่มีประสบการณ์ แต่การแสดงของแฮมิลตันก็ไม่ได้ขาดความพิเศษ ทำให้เขาได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวางและท้าทายกฎของกีฬานี้

ความก้าวหน้าของแฮมิลตันเกิดขึ้นในปี 2551 เมื่อเขาเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่เพื่อชิงแชมป์กับเฟลิเป้ มาสซาแห่งเฟอร์รารี ในตอนจบที่กัดเล็บที่ Brazilian Grand Prix การแซงของแฮมิลตันในรอบสุดท้ายทำให้เขาจบอันดับที่ 5 ทำให้เขาได้รับคะแนนที่จำเป็นเพื่อแย่งแชมป์จาก Massa เพียงแต้มเดียว มันเป็นช่วงเวลาสำคัญในอาชีพของเขา ทำให้เขากลายเป็นแชมป์โลก Formula One ที่อายุน้อยที่สุดในเวลานั้น

ในปีต่อ ๆ มา แฮมิลตันยังคงเขียนบันทึกใหม่ โดยทิ้งร่องรอยที่ลบไม่ออกไว้บนวงการกีฬา การย้ายไปร่วมทีม Mercedes-AMG Petronas Formula One ในปี 2013 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความสำเร็จที่ผลักดันเขาไปสู่ความสำเร็จขั้นใหม่ ด้วยยุคไฮบริดที่โดดเด่นของเมอร์เซเดส แฮมิลตันเริ่มต้นขึ้นสู่อำนาจสูงสุด คว้าแชมป์ครั้งแล้วครั้งเล่า

นอกเหนือจากความสามารถในสนามแข่งแล้ว ผลกระทบของแฮมิลตันยังขยายไปไกลกว่าขอบเขตของมอเตอร์สปอร์ต ผู้สนับสนุนที่หลงใหลในความหลากหลาย ความเท่าเทียม และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เขาใช้แพลตฟอร์มของเขาเพื่อสร้างความตระหนักรู้และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก จากการต่อต้านความอยุติธรรมทางเชื้อชาติไปจนถึงการส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมการแข่งรถ แฮมิลตันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ระดับโลกทั้งในและนอกสนาม

การแสวงหาความเป็นเลิศอย่างไม่หยุดยั้งของเขาและความมุ่งมั่นในการก้าวข้ามขอบเขตได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักแข่งรุ่นใหม่ ทำลายอุปสรรคและเปลี่ยนโฉมหน้าของ Formula One ความสำเร็จของแฮมิลตันได้ทำลายความคิดแบบเดิมๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพรสวรรค์และความมุ่งมั่นสามารถอยู่เหนือเชื้อชาติ ภูมิหลัง และสถานการณ์ได้

ในฐานะนักแข่งรถชาวอังกฤษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟอร์มูลาวัน มรดกของลูอิส แฮมิลตันนั้นถูกยึดไว้อย่างแน่นหนา แชมป์โลก 7 สมัย ตำแหน่งโพลโพซิชันกว่า 100 ครั้ง และชัยชนะในการแข่งขัน 103 รายการทำให้เขากลายเป็นนักแข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่สถิติของเขาเท่านั้นที่กำหนดตัวเขา แต่ยังรวมถึงผลกระทบที่เขามีต่อกีฬาและสังคมโดยรวมด้วย

การเดินทางของ Lewis Hamilton เป็นข้อพิสูจน์ถึงพลังแห่งความฝัน ความยืดหยุ่น และการปฏิเสธที่จะยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ ในขณะที่เขายังคงผลักดันขอบเขตของสิ่งที่เป็นไปได้ เขายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักแข่งที่ต้องการทั่วโลก เตือนเราว่าด้วยความทุ่มเท ความกล้าหาญ และความเชื่อมั่นในตนเองที่แน่วแน่ ทุกสิ่งก็สามารถบรรลุได้ ลูอิส แฮมิลตัน ตำนานนักแข่งรถผู้ทำลายอุปสรรค จะเป็นสถานที่พิเศษในหัวใจของผู้ที่ชื่นชอบมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลกตลอดไป

Michael Schumacher ตำนานนักแข่งแห่ง Formula 1

วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับราชานักแข่งรถสูตรหนึ่งหรือ Formula 1 ชาวเยอรมัน ผู้ที่เป็นนักแข่งในระดับตำนาน ที่นักพนันทั่วโลกรู้จักกันดี นั่นคือ “มิคาเอล ชูมัคเคอร์” (Michael Schumacher)

ชูมัคเกอร์ เคยเป็นนักแข่งรถที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกที่สร้างกำไรในการเดิมพันทุกรายการสูงมาก จุดเริ่มต้นในวัยเด็กของเขาคือการขับรถโกคาร์ทในสนามที่พ่อของเขาสร้างไว้ให้ในบ้านตั้งแต่อายุได้ 4 ขวบ การได้รับการสนับสนุนจากผู้เป็นพ่อ “โรลฟ์ ชูมัคเคอร์” ซึ่งเป็นผู้จัดการสนามแข่งรถคาร์ทท้องถิ่น ณ เมืองเคอร์เพน ประเทศเยอรมัน ทำให้เขาได้ร่วมการแข่งขันรถโกคาร์ทครั้งแรกตั้งแต่อายุ 12 ปี และยังสามารถชนะการแข่งขันทั้งในเยอรมนีและในทวีปยุโรปอีกหลายรายการ

จุดเริ่มต้นและไทม์ไลน์ของการเข้าสู่วงการแข่งรถ Formula 1 ของชูมัคเกอร์

ปี 1991 ชูมัคเคอร์ได้รับเลือกให้เข้าแข่งขันฟอร์มูลาวัน ในรายการ เบลเยียม กรังปรีซ์ แต่ยังเป็นตัวสำรองในทีมแข่งรถจอร์แดน รายการแรกของเขาก็ทำให้คนประหลาดใจด้วยการควอลิฟายได้เป็นอันดับ 7 ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ดีเยี่ยมสำหรับรายการแรกของเขา

ต่อมาประมาณปี 1992 เขาได้ย้ายทีมไปอยู่กับ เบเนตอง ฟอร์ด จนในที่สุดเขาก็คว้าแชมป์เป็นรายการแรกของคือ รายการเบลเยียมกรังปรีซ์และยังได้รับรางวัลนักแข่งเป็นอันดับที่ 3 ของรายการ

ปี 1996 ชูมัคเคอร์ได้ย้ายค่ายอีกครั้งด้วยการจากทีมเบเนตอง เพื่อไปร่วมทีมเฟอร์รารี ทั้งที่ผู้คนต่างมองว่าเป็นความเสี่ยงต่ออาชีพนักแข่งของเขา เพราะทีมเฟอร์รารีไม่ได้แชมป์ในรายการ F1 มานานมากแล้ว แต่ชูมัคเคอร์ก็สามารถพาทีมเฟอร์รารีได้แชมป์โลกติดต่อกันตั้งแต่ปี 2000-2004

แต่แล้วทุกอย่างต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากชูมัคเคอร์ประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงในระหว่างการแข่งกรังปรีซ์ที่ประเทศอังกฤษ เกิดจากรถของชูมัคเคอร์ได้ไถลออกนอกเส้นทางและเสียหลักพลิกคว่ำ ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถเข้าแข่งในอีก 6 สนามที่เหลือของฤดูกาลได้และถูกพักรักษาตัวเป็นเวลานาน แม้ว่าชูมัคเคอร์จะสามารถกลับมาแข่งขัน F1 อีกครั้ง แต่เขาก็ได้ประกาศถอนตัว แขวนพวงมาลัยไปในปี 2006

ปี 2010 มิคาเอล ชูมัคเคอร์สร้างความประหลาดใจด้วยการหวนสู่วงการ F1 อีกครั้ง แต่เป็นการร่วมทีมกับเมอร์เซเดส กรังปรีซ์ และยุติชีวิตการเป็นนักแข่งอีกครั้งในปี 2012

อย่างไรก็ตาม ในชีวิตการเป็นนักแข่งรถสูตรหนึ่งของมิคาเอล ชูมัคเคอร์ เขาก็ได้สร้างตำนานให้กับวงการนักแข่งรถ ด้วยการครองแชมป์โลก ถึง 7 ครั้ง ชนะในรายการแข่ง Formula 1 ถึง 91 ครั้ง สามารถขึ้นไปยืนบนแท่นโพเดียมได้บ่อยถึง 155 ครั้ง ! และยังได้กลายเป็นบุคคลที่เป็นที่ชื่นชอบและเป็นแรงบันดาลใจให้กับบรรดานักแข่งรถรุ่นใหม่อีกหลาย ๆ คน

อุบัติเหตุจากสกีที่ไม่คาดฝัน ทำให้ราชานักแข่งรถกลับกลายเป็นเจ้าชายนิทรา

เดือนธันวาคม ปี 2013 ชูมัคเคอร์ได้ออกเดินทางไปเล่นสกี ซึ่งเป็นหนึ่งในกีฬาที่เขาชื่นชอบมาก ในพื้นที่เล่นสกี เมริเบล ประเทศฝรั่งเศส โดยชูมัคเคอร์เริ่มต้นที่ความสูง 2,700 เมตร ระหว่างที่เขาสกีลงมา ชูมัคเคอร์เกิดเสียหลัก ทำให้เขาพุ่งไปยังแอ่งที่มีหิมะตกใหม่และศีรษะกระแทกกับโขดหินทำให้หมวกนิรภัยที่สวมใส่ชำรุด จนเขาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง ชูมัคเคอร์ได้รับการส่งตัวเพื่อรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน หลังการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนั้น เขาได้รับการผ่าตัดสมองและอยู่ในอาการที่น่าเป็นห่วง

ข่าวการเกิดอุบัติเหตุของชูมัคเคอร์ได้แพร่กระจายไปสู่บรรดาแฟน ๆ นักพนัน และผู้คนทั่วโลก รวมถึงสื่อมวลชนต่าง ๆ ที่คอยทำข่าว แม้ว่าในปัจจุบันชูมัคเคอร์จะสามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้านพักของตัวเองได้แล้ว แต่บรรดาแฟน ๆ ของเขาก็ยังเป็นห่วงและยังคอยติดตามเพื่อให้กำลังใจและหวังว่าอาการของเขาจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ในเร็ววัน

เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับการแข่งขัน F1 ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

กีฬารถแข่งเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากคนทั้งโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬารถแข่ง F1 เนื่องจากเป็นการแข่งขันระดับสูงสุดของกีฬารถแข่งนั่นเอง แต่อย่างไรก็ดี เราคนไทยอาจจะไม่คุ้นเคยกับกีฬารถแข่ง F1 สักเท่าไรนัก และอาจจะมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกันอยู่ไม่น้อย วันนี้เราอาสาพามาดูข้อมูลเกี่ยวกับกีฬารถแข่ง F1 เชื่อได้เลยว่าคุณจะต้องหลงรัก กีฬารถแข่ง F1 อย่างแน่นอน

1.ฟอร์มูลาวันไม่ใช่รุ่นของรถ

หลาย ๆ คนได้ยินคำว่าฟอร์มูลา อาจจะคิดว่าเป็นชื่อรุ่นรถที่เข้าร่วมการแข่งขันหรือว่ายี่ห้อรถ แต่ว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด แท้ที่จริงแล้วฟอร์มูลาแปลว่าสูตรนั่นเอง และสูตรหนึ่งก็คือกติกาที่นักแข่งรถจะต้องปฏิบัติตามให้ตรงกันหากจะเข้าร่วมการแข่งขันนี้นั่นเอง ยกตัวอย่างกติกาง่าย ๆ ก็คือการขับรถที่เข้าแข่งขันด้วยความเร็วสูงสุด 360 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เรียกได้ว่าเป็นกีฬาที่ท้าความเร็วเป็นอย่างยิ่ง

2.ฟอร์มูลาวันเกิดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

หลาย ๆ คนได้อ่านประวัติการถือกำเนิดของโกคาร์ทที่เกิดในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็พาลเข้าใจไปว่าฟอร์มูลาวันเกิดที่ประเทศนี้เช่นกัน แต่แท้ที่จริงแล้วฟอร์มูลาวันนั้นเกิดในทวีปยุโรป และมีศูนย์กลางการแข่งขันที่ทวีปยุโรปมานับตั้งแต่อดีต แต่ทว่าด้วยปัจจุบันนี้การเดินทางไปประเทศต่าง ๆ ในโลกนั้นเป็นเรื่องง่ายก็เลยเกิดการขยับขยายการแข่งขันไปที่ทวีปอื่นแล้วบ้าง

3.นักแข่งรถที่เพิ่งเสียชีวิตในการแข่งขันเมื่อไม่นานมานี้แข่ง F1

ช่วงเดือนสิงหา 62 ที่ผ่านมา หลายคนอาจจะเคยได้ยินข่าวนักแข่งรถเสียชีวิตในการแข่งขันและเข้าใจไปว่าเป็นนักแข่งรถ F1 แต่แท้ที่จริงแล้วนักแข่งรถคนนี้เป็นนักแข่งรถ F2 นั่นเอง ชื่อของเขาก็คืออองตวน อูแบร์ โดยเขาประสบอุบัติเหตุในขณะแข่งขัน รถที่เขาขับเสียหลัก จากการเร่งความเร็วแซงรถที่ตีคู่กันอยู่ แต่แซงไม่ได้และชนโค้งจนรถขาดสองท่อน นับได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมของการแข่งรถ F2 เลยทีเดียว

4.คนไทยไม่เคยเข้าร่วมการแข่งขัน F1

นี่ก็เป็นความเข้าใจที่ผิดเช่นกัน เนื่องจากว่าคนไทยก็เคยเข้าร่วมการแข่งขัน F1 ได้แก่ คนแรกคือ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ซึ่งเคยลงแข่งขันรายการ F1 ในปี 1950-1955 และคนไทยคนที่สองก็คือ อเล็กซ์ อัลบอนด์ นั่นเอง

และนี่ก็คือเรื่องราวของการเข้าใจผิดเกี่ยวกับรถ F1 ที่เราคาดว่าคนไทยหลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งนี้ก็เพราะความนิยมของการแข่งขันรถ F1 ในประเทศไทยยังไม่แพร่หลายมากในต่างประเทศ ในขณะที่ต่างประเทศนั้น มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันเลยทีเดียว เป็นการแข่งรถที่ชาวยุโรปต่างตั้งตารอคอยและส่งใจไปเชียร์ ในเมื่อเรารู้แล้วว่าการแข่งรถ F1 มีจุดที่น่าสนใจมากขนาดนี้ ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะตั้งใจลองดูการแข่งกีฬารถแข่ง F1 อีกครั้ง

Sebastian Vettel แชมป์โลก 4 สมัยจากทีม Ferrari

สำหรับการแข่งขัน F1 ฤดูกาลปี 2019 นี้แน่นอนว่าชื่อของ Sebastian Vettel อดีตแชมป์โลก 4 สมัยย่อมอยู่ในลิสต์รายชื่อนักแข่งทีม Ferrari เป็นแน่ และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับทัวร์นาเมนต์ระดับโลกที่กำลังจะมาถึง วันนี้เราจึงได้นำเอาประวัติที่น่าสนใจของนักแข่งระดับโลกคนนี้มาฝากกัน

ประวัติความเป็นมาและจุดเริ่มต้นการเป็นนักแข่ง

                Sebastian Vettel เป็นนักแข่งรถชาวเยอรมันที่ไต่เต้ามาตั้งแต่การแข่งขันในระดับเยาวชน โดยเริ่มแข่งโกคาร์ทสมัครเล่นตั้งแต่ตอนที่มีอายุได้เพียง 3 ขวบและเข้าสู่การแข่งโกคาร์ทระดับซีรีย์ในปี 1995 เมื่อตอนที่มีอายุได้แค่ 8 ขวบ ต่อมาเขาก็ได้เข้าไปเป็นสมาชิกของทีม RedBull Junior ตั้งแต่เมื่อมีอายุได้ 11 ปี สามารถสร้างผลงานในระดับเยาวชนได้อย่างยอดเยี่ยม ได้รับรางวัล German Formular BMW Championship ปี 2004 ด้วยการชัยชนะ 18 รายการจากการแข่งขัน 20 ครั้ง ทำให้ Vettelเป็นนักแข่งอายุน้อยที่เริ่มมาจากระดับเยาวชนจนกลายเป็นนักแข่งที่ประสบความสำเร็จระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว

ผลงานในสนาม F1   

                Sebastian Vettel เริ่มเข้าสู่วงการแข่งรถ F1 โดยการเข้าร่วมเป็นนักแข่งเพื่อทำการทดสอบรถ BMW Sauber และได้เปิดตัวเป็นนักขับให้กับทีมเป็นครั้งแรกในการแข่งขันสนาม United Grand Prix เมื่อปี 2007 โดยในครั้งนั้นเขาเป็นนักแข่งที่ถูกเปลี่ยนเพื่อขับแทน Robert Kubica ที่ได้รับบาดเจ็บในระหว่างการแข่งขัน หลังจากนั้นในการแข่งขัน Season เดียวกันเขาก็ได้เป็นนักขับร่วมกับ Toro Rosso สังกัดทีม RedBull และได้ร่วมทีมจนถึงปี 2008 ซึ่งปีเดียวกันนี้เองที่เขาได้สร้างสถิติเป็นนักขับร่วมที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะการแข่งขันสนาม Italian Grand Prix 2008 ในขณะที่เขามีอายุได้เพียง 21 ปี

                Vettel สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในสนาม F1 และเป็นนักแข่งรถสูตร 1 ที่อายุน้อยที่สุดในโลกที่สามารถคว้าแชมป์ F1 ไปได้ในขณะที่มีอายุเพียงแค่ 23 ปี จนได้รับรางวัล World Driver’s Championship อีกทั้งยังสามารถคว้าแชมป์โลกไปได้ถึง 4 สมัยอย่างต่อเนื่องให้กับทีม Redbull ในฤดูกาลปี 2010 – 2013 ก่อนที่จะออกจากทีม RedBull ในปี 2015 เพื่อมาเซ็นต์สัญญากับทีม Ferrari              

                ปัจจุบัน Sebastian Vettel อายุ 30 ปี ได้ชื่อว่าเป็นนักแข่งรถสูตร 1 ที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ นอกจากสถิติการเป็นแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดแล้ว เขายังถูกจัดอยู่ในอันดับ 3 ของนักแข่งที่เข้าเส้นชัยเป็นอันดับแรกในทุกสนาม และยังคงเซ็นต์สัญญากับทางเฟอรรารี่ไปจนถึงสิ้นปี 2020 สำหรับในปี 2019 นี้เขาจะทำผลงานได้ดีแค่ไหนแฟน ๆ ก็ต้องติดตามกันดู

รถแข่งที่คาดว่าจะทำความเร็วได้ดีขึ้นจากกฎใหม่ของ F1 2019

สืบเนื่องจากการปรับปรุงกฎการแข่งขันของ F1 ในปี 2019 นี้ ฝ่ายเทคนิคที่จัดการแข่งขันได้มีการคาดการณ์ถึงรถแข่งที่จะสามารถปรับปรุงสมรรถนะเพื่อให้สามารถขับขี่ได้เร็วกว่าเดิม แม้หลายฝ่ายจะคาดการณ์ตรงกันข้ามว่ากฎใหม่ที่ออกมาจะส่งผลให้รถแข่งทั้งหลายมีความเร็วช้าลงก็ตาม เพราะฉะนั้นเรามาดูกันว่ารถจากค่ายไหนที่มีโอกาสโชว์ฟอร์มได้ดีขึ้นกว่าเก่าในฤดูกาลหน้า

Ferrari จ้าวแห่งความเร็ว

                ขณะนี้ทีม F1 ได้เริ่มทำการทดสอบเพื่อคาดการณ์ผลที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงกฎใหม่ของรถแข่ง ซึ่งได้ผลลัพธ์ออกมาว่ารถแข่งทั้งหลายมีโอกาสที่จะทำความเร็วต่อรอบได้ช้ากว่าสถิติของปี 2018 เป็นเวลา 2 วินาที

                ล่าสุด Mattia Binotto หัวหน้าทีมเฟอร์รารี่ได้กล่าวในงานเปิดตัวรถยนต์ในปี 2019 ของทีมเมื่อต้นเดือนนี้ว่า ทีมเฟอร์รารี่มีการคาดการณ์ว่าการเปลี่ยนกฎดังกล่าวจะทำให้เกิดผลกระทบต่อรถแข่งของทีม Ferrari เป็นเวลา 1.5 วินาทีต่อรอบ ซึ่งผลดังกล่าวเกิดขึ้นจากการทดสอบในครั้งแรก แต่อย่างไรก็ตามจากการทดสอบครั้งล่าสุดที่ผ่านมาพบว่าการเปลี่ยนกฎดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับความเร็วของเฟอร์รารี่แต่อย่างใด อีกทั้งรถแข่งยังสามารถทำความเร็วได้เทียบเคียงกับสถิติเมื่อ 12 เดือนที่ผ่านมาอีกด้วย ซึ่งทีมสามารถเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนจากฝีมือการขับของ Lewis Hamilton ในการทดสอบช่วงสัปดาห์สุดท้ายที่บาร์เซโลนาซึ่งสามารถทำความเร็วได้ดีขึ้น 

โอกาสของ Renault

                นอกจากทีม Ferrari แล้ว Nick Chester หัวหน้าฝ่ายเทคนิคของ Renault ยังคาดการณ์ว่ารถแข่งของทีมในฤดูกาลปี 2019 ที่กำลังจะมาถึงนี้จะสามารถทำความเร็วได้ดีกว่าผลงานในปี 2018 โดยทางทีมคาดว่าในการทดสอบสัปดาห์หน้ารถแข่งจะสามารถทำเวลาได้ดีขึ้นเนื่องจากการปรับปรุงสมรรถนะบางอย่าง

จากการทดสอบครั้งล่าสุดพบว่าในช่วงท้ายของการ Test รถของทีม Renault สามารถทำความเร็วได้ดีว่าผลงานในช่วงท้ายของปี 2018 ในขณะเดียวกันทางทีมวิศวกรก็ยังคงพยายามที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในทุกรายละเอียด โดยเฉพาะเรื่องของกฎใหม่ที่ส่งผลทำให้รถเสียน้ำหนักไปเล็กน้อยจนเกิดผลกระทบทำให้เสียสมดุล ซึ่งเชื่อว่าปัญหาข้อนี้เป็นสิ่งที่หลายทีมก็ล้วนต้องเจอและต้องแก้ไขเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือทีมจะต้องเรียนรู้ข้อผิดพลาดและแก้ไขโดยเร็วที่สุด กฎใหม่ที่ออกมาในครั้งนี้ถือเป็นการพิสูจน์ฝีมือและเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งของทีมวิศวกร Renault เลยก็ว่าได้

                จากการเปลี่ยนกฎใหม่ของการแข่งขัน F1 ในปี 2019 ส่งผลให้แต่ละทีมต้องปรับปรุงรถแข่งกันยกใหญ่ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าทีมวิศวกรและฝ่ายเทคนิครวมถึงนักแข่งของทีมไหนจะสามารถโชว์ฟอร์มเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ได้ดีที่สุด

Mercedes เปลี่ยนปีกหน้ายกชุดเตรียมพร้อมรับการแข่งขัน F1 ฤดูกาล 2019

สืบเนื่องจากการออกกฎของคณะกรรมการแข่งขัน Formular 1 ในปี 2019 ที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการกระบวนการไหลของอากาศ (Airflow) ด้านหน้าของรถที่ต้องมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นทำให้ทีมต่าง ๆ ต้องพากันปรับปรุงรถแข่งของตัวเอง รวมถึงทีม Mercedes ก็เช่นเดียวกัน

Mercedes เตรียมพร้อม เปลี่ยนปีกหน้ายกชุด

                สำหรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ Mercedes กล่าวว่า ถือเป็นแนวคิดที่ดีในการจะเปลี่ยนปีกหน้าให้ออกมาคล้ายกับคอนเซ็ปต์ของ Ferrari และคงต้องใช้ระยะเวลาอีกหลายเดือนกว่าจะเสร็จ แต่ก็ยอมรับว่านี่จะเป็น

การเปิดกว้างเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม

                “คุณต้องมีใจที่เปิดกว้าง” หัวหน้าทีมของ Mercedes กล่าวล่าสุดในงานอีเว้นท์ของ Petronas ที่ Mercedes ร่วมเป็นสปอนเซอร์ อีกทั้งยังกล่าวต่อว่าทีมของเขายังมีปรัชญาการออกแบบที่แตกต่างจากทีมอื่น ๆ เพราะถ้าทุกคนเปิดใจในสิ่งที่คนอื่น ๆ ทำ รวมถึงทุกคนในทีมสามารถทำตามหน้าที่ของตัวเองได้ดีขึ้น นั่นหมายถึงว่าเราจะสามารถนำสิ่งที่ได้รับการปรับปรุงพัฒนามาใส่รถและทำการทดลองเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้ ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนปีกหน้าที่ต้องเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนพลศาสตร์และมาตราส่วนของรถนั้นย่อมไม่ใช่แค่การใช้เวลาเป็นวันหรือสัปดาห์แต่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันเป็นเดือนเลยทีเดียว

                Timeline การเปลี่ยนปีกหน้าของ Mercedes ในครั้งนี้คาดว่าต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนหลังจากได้คอนเซ็ปต์ เนื่องจากการจะพัฒนาปีกหน้าที่มีความแตกต่างจากรูปแบบเก่าอย่างสิ้นเชิงให้สามารถใช้งานได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งทีมยังมีความพยายามที่จะใช้แรงดันเพื่อให้ล้อรถดันออกมาด้านนอกมากที่สุดเพื่อให้ได้ดีไซน์และการขับเคลื่อนที่ดีที่สุด รวมถึงการออกแบบเพื่อให้เกิดความสมดุลขึ้นเพียงเล็กน้อยก็มีส่วนที่จะทำให้รถยนต์สามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งแต่ละเงื่อนไขนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยโซลูชั่นที่แตกต่างกัน  

ความคืบหน้าของทีมอื่น ๆ    

ในขณะที่ Mercedes และ Red Bull เลือกใช้การออกแบบปีกหน้าด้วยดีไซน์ที่ดูเหมือนจะกลับไปสู่ความดั้งเดิมมากขึ้น แต่ทีมอย่าง Ferrari และ Alfa Romeo กลับทำสิ่งที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงคือการออกแบบขอบด้านนอกของปีกด้านหน้าให้เอียงไปทางด้านท้ายมากที่สุด โดย Ferrari ได้เริ่มทำการทดสอบปีกหน้าใหม่ที่มีความแข็งแกร่งนี้ตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว ส่วน Toyota ซึ่งเห็นว่าทีมของตัวเองทำได้ดีมากแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็กำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะทำให้รถแข่งของตัวเองมีสมรรถนะที่ดีขึ้นกว่าเดิม

หลังจากการเปลี่ยนแปลงปีกหน้าของ Mercedes, Red Bull, Ferrari, Alfa Romeo และ Toyota รวมถึงทีมอื่น ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วแฟน ๆ ออโต้สปอร์ตก็คงต้องรอดูว่าผลลัพธ์และผลงานของทีมใดจะเด็ดกว่ากัน

เรื่องราวเบื้องหลังสถิติมอเตอร์สปอร์ตที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

หลังจากการทดสอบรวมถึงการรวบรวมข้อมูลของการแข่งขันรถสูตร 1 ของ Forix ซึ่งใช้เวลายาวนานได้สิ้นสุดลงไปแล้ว เราก็ได้นำเอาเรื่องราวเบื้องหลังการเก็บสถิติมอเตอร์สปอร์ตที่เชื่อว่ายังไม่มีใครรู้มาฝากกัน

Forix ผู้อยู่เบื้องหลังการเก็บสถิติ         

                จากเกาะ Azores ที่ไกลออกไป Jaoa Paulo Cunha ใช้เวลามากกว่า 30 ปี ในการรวบรวมและประมวลผลสถิติเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความแม่นยำและครอบคลุมมากที่สุดจากการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต    

ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่าน Jaoa Paulo Cunha และทีมงานของ Forix ได้ใช้เวลาในการทำงานเพื่อจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในการแข่งขันรถแข่งรวมถึงเรื่องของล้อรถยนต์ทั้ง 4 ล้อไปจนถึงตัวมอเตอร์ไว้อย่างครบถ้วน อย่างที่เรียกได้ว่ามีการเก็บทุกสถิติในโลกที่เกี่ยวข้องกับการแข่งรถที่แฟน ๆ ให้ความสนใจก็ว่าได้

ในบางช่วงที่มีซีซั่นการแข่งขันทีมงานของพวกเขาต้องทำงานกันอย่างต่อเนื่องถึง 18 ชั่วโมง อย่างไม่มีวันหยุดรวมถึงวันอาทิตย์ ทำให้ตอนนี้ Forix มีข้อมูลการแข่งขันรถทั้งสิ้น 515 ซีรีย์ทั้งที่มีการจัดแข่งขันขึ้นในปี 2018 และรายการที่ไม่มีการจัด มีข้อมูลผลการแข่งขันกว่า 52,000 สนาม รวมถึงข้อมูลของนักแข่งกว่า 70,000 คนและรถแข่งกว่า 6,000 คัน

จากงานอดิเรกนำไปสู่การเก็บสถิติระดับโลก

Jaoa Paulo Cunha กล่าวว่า ตอนแรกการเก็บข้อมูลเหล่านี้ก็เหมือนจะเป็นงานอดิเรก เนื่องจากเขาเป็นแฟนตัวยงของการแข่งขันรถ F1 เขาก็เลยตามเก็บข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วบันทึกลงไปในคอมพิวเตอร์และทำมันมาอย่างต่อเนื่องจนเริ่มกลายเป็นงานที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด Forix ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ที่ทำการเก็บรวบรวมและประมวลผลสถิติต่าง ให้กับการจัดแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตและเข้าร่วมเป็นเครือข่ายพันธมิตรของการแข่งขันทั้งหลายเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2016 นับจากวันนั้นถึงวันนี้นับเป็นระยะเวลาถึง 50 ปีของ Jaoa Paulo Cunha เรียกได้ว่าทำมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่เลยทีเดียว และสาเหตุที่เขาเลือกที่ตั้งในการทำงานอยู่ที่เกาะ Azores ก็เนื่องจากสะดวกสำหรับการเก็บข้อมูลการแข่งขันที่อยู่ในสนามของแต่ละประเทศซึ่งมี Timezone แตกต่างกันนั่นเอง

สำหรับความแม่นยำของการเก็บข้อมูลนั้น Jaoa Paulo Cunha ยังกล่าวต่อว่า ในบางครั้งการเก็บข้อมูลของ Forix ยังมีความแม่นยำกว่าการเก็บข้อมูลของผู้จัดงานเสียอีก ทำให้บริษัทมีส่วนช่วยในการเก็บสถิติของมอเตอร์สปอร์ตได้มากจนได้รับการยอมรับและได้รับความเชื่อถือจากเหล่าผู้จัดระดับโลก

สำหรับแฟน ๆ ที่สนใจการเก็บข้อมูลการแข่งรถระดับโลกซีรีย์ต่าง ๆ จาก Forix คุณสามารถค้นหาข้อมูลและเข้าถึงบริการในรูปแบบต่าง ๆ ได้ทางออนไลน์

Lewis Halmilton แชมป์ F1 อายุน้อยที่สุดในโลก

เมื่อพูดถึงชื่อของนักแข่งรถสูตร 1 ที่มาแรงที่สุดในตอนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ ก็คงต้องเป็นแชมป์ F1 คนล่าสุดที่สามารถคว้าถ้วยรางวัลให้กับทีม Mercedes ไปได้ วันนี้เราจึงจะพาไปคุณรู้จักกับ Lewis Halmilton นักแข่งรถชาวอังกฤษที่ได้ชื่อว่าเป็นแชมป์ F1 ที่อายุน้อยที่สุดในโลก

ทำความรู้จักกับ Lewis Halmilton      

                Lewis Halmilton เป็นนักแข่งรถชาวอังกฤษ ปัจจุบันอายุ 33 ปีที่ทำสถิติคว้าแชมป์โลกในการแข่งขันรถสูตร 1 ให้กับทีม Mercedes AMP Petrrnas ได้ถึง 5 ครั้งจนเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักแข่งที่ดีที่สุดและอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์วงการการแข่งรถ

จุดเริ่มต้นการเป็นนักแข่ง

Lewis Halmilton เกิดและโตที่เมือง Stevenage, Hertfordshire ใกล้กับกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ โดยเขาได้เริ่มสนใจเรื่องการแข่งรถตั้งแต่ตอนที่พ่อเขาซื้อรถแข่งบังคับวิทยุให้ตอนอายุ 6 ขวบ ต่อด้วยการเริ่มขับรถโกคาร์ทและเริ่มเข้าสู่วงการการแข่งรถโดยการสนับสนุนของบิดา Halmilton ได้เริ่มเข้าแข่งขันโกคาร์ทตั้งแต่ปี 1993 คือตอนที่เขามีอายุแค่เพียง 8 ขวบและได้แชมป์อันดับ 1 หลังจากนั้น 2 ปีต่อมาเขาก็ได้เข้าไปเสนอตัวเองกับทีม McLaren โดยเขาเชื่อว่าวันหนึ่งเขาจะได้มีโอกาสเข้าร่วมทีมและขับรถของ McLaren คว้าแชมป์ได้ เมื่อเขาอายุได้ 12 ปี  ทักษะการขับขี่ของเขาก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถคว้าแชมป์ในรายการ Junior Yamaha ไปได้ในฤดูกาล 1997 และ 1998 จน McLaren เห็นความสามารถและได้เรียก Halmilton เข้าไปร่วมทีมและได้เซ็นต์สัญญาเป็นนักแข่งของ McLaren จนต่อมาก็ได้ไต่เต้าขึ้นเป็นนักแข่ง Formala 1 ของทีม McLaren ในที่สุด

เส้นทางสู่ความสำเร็จ

                ปี 2007 เป็นปีแรกที่ Halmilton ลงเป็นนักแข่งให้กับ McLaren ในสนามแข่งฟอร์มูล่าวัน โดยเขาสามารถเอาชนะได้ในสนาม Canadian Grand Prix ซึ่งถือเป็นชัยชนะครั้งแรกของเขาในการแข่งขัน Formula 1 จนต่อมาในปี 2008 เขาก็ได้พัฒนาความสามารถที่ต้องทำให้คนทั้งโลกได้ทึ่งเนื่องจากเขาได้ทำสถิติคว้าแชมป์ฟอร์มูล่าวันที่มีอายุน้อยที่สุดในโลกมาครองในฐานะนักแข่งของทีม McLaren จนกระทั่งปี 2013 Halmilton ได้ย้ายมาเข้าร่วมทีมกับ Mercedes และสามารถคว้าแชมป์ให้กับทีม Mercedes ได้ อีกทั้งสามารถรักษาอันดับแชมป์ไว้ได้ในปี 2014 และปี 2015 และสามารถกลับมาคว้าตำแหน่งอันดับ 1 ของโลกได้ในปี 2017 และปี 2018 ซึ่งเป็นปีล่าสุด ถือเป็นนักแข่งที่มีอายุน้อยที่สุดที่สามารถคว้าแชมป์ให้กับทีม Mercedes ได้ถึง 5 ครั้ง จนได้รับการจารึกว่าเป็นนักแข่งรถที่ดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์การแข่งขัน Formula 1

สำหรับฤดูกาลปี 2019 ที่กำลังจะมาถึง  Halmilton ก็จะยังคงเป็นนักแข่งให้กับทีม Mercedes และได้มีการต่อสัญญาไปจนถึงปี 2020 ซึ่งเขาเชื่อว่าจะสามารถคว้าแชมป์และรักษาตำแหน่งแชมป์โลกเอาไว้ได้อีกครั้ง

รวมเหตุการณ์ยอดเยี่ยมและยอดแย่จากสนามแข่ง F1 ปี 2018

ปิดฉากกันไปแล้วกับการแข่งขัน Formula 1 ฤดูกาล 2018 ที่มีทั้งความตื่นเต้นและสามารถรักษาเอกลักษณ์และมาตรฐานการเป็นทัวร์นาเมนท์การแข่งขันรถทัวร์นาเมนท์สูงสุดระดับโลกเอาไว้ได้เป็นอย่างดี โดยในปีนี้ Lewis Hamilton จาก Mercedes สามารถคว้าแชมป์ F1 ไปได้ วันนี้เราจึงได้นำเอาเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งยอดเยี่ยมและยอดแย่มาฝากกัน

นักแข่งที่ดีที่สุด

                จากผลงานของ Hamilton ที่ Monza ที่เขาสามารถสร้างความกดดันให้กับ Kimi Raikkonen และ Sebastian Vettel ในตักแรกจาก 3 ตาราง ที่เมื่อ Vettel ได้ทิ้งช่องว่างไว้ที่เลนด้านซ้าย ทำให้ Hamilton สามารถแทรกเข้าไปในเลนที่ว่างเพื่อหาโอกาสการแซงได้ หลังจากนั้น Hamilton ก็ไล่บี้ Raikkonen อย่างหนักก่อนจะต้องพัก เนื่องจากยางรถทำงานหนักเกินไป แต่ก็สามารถกลับมาลงสนามได้อย่างรวดเร็วและสามารถแซง Raikkonen ได้ในที่สุด

รายการแข่งขันที่ดีที่สุด

                Italian Gran Pix ถือเป็นรายการแข่งขันที่ดีที่สุดของปี 2018 เนื่องจากให้ความรู้สึกของบรรยากาศการแข่งขันในอดีตกลับมาอีกครั้ง

รถแข่งที่ดีที่สุด

Mercedes และ Ferrari ถือว่ายังคงสูสีทั้งในด้านของตัวรถและเครื่องยนต์ แต่จากการคว้าแชมป์ของ Mercedes ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า Mercedes สามารถทำความเร็วได้ดีกว่า Ferrari 0.124 วินาที ในขณะที่ Ferrari ก็ยังคงโต้แย้งว่ายังไง Ferrari ก็เป็นรถที่ทำความเร็วได้ดีกว่า Mercedes อยู่แล้ว หรือว่าผลงานในครั้งนี้ต้องยกให้เป็นความสำเร็จและความดีความชอบของนักแข่งอย่าง Hamilton เพราะฤดูกาลนี้ถือเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของเขาเลยก็ว่าได้

การตัดสินใจที่ดีที่สุด

                การตัดสินใจที่ดีที่สุดจากทัวร์นาเมนท์นี้ก็คือการที่ Ferrari เลือก Charles Leclerc สำหรับการแข่งขันในปี 2019 เพราะเขาสามารถโชว์ฟอร์มได้ดีมาก ถึงแม้ว่าในช่วงแรกอาจโชว์ฟอร์มได้แบบสั่นคลอนเล็กน้อย แต่พอจบฤดูกาลผลงานของเขาก็ถือว่าทำได้ดีเป็นนักแข่งที่มีข้อบกพร่องน้อยมาก และเชื่อว่าการแข่งขันกับ Vettle ในปีหน้าคงจะต้องมันส์และได้ลุ้นกับแบบหืดขึ้นคออย่างแน่นอน

ความผิดพลาดที่แย่ที่สุด

ความผิดพลาดที่แย่ที่สุดสำหรับฤดูกาล 2018 ก็คือการที่ Sebastian Vettle โดยแซงจากการนำในการแข่งขัน German Grand Prix ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ทำให้อดีตแชมป์โลก 4 สมัยเสียหน้ามากที่สุด และเป็นความผิดพลาดที่นำไปสู่ชัยชนะของ Hamilton ที่ทั้ง Vettle และทีม Ferrari ไม่สามารถกู้หน้าและคว้าถ้วยกลับมาครองได้

การตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุด

การตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดก็คือการที่ทีม Ferrari ส่งรถออกผิดอันดับในการแข่งขัน Italian Grand Prix ทั้ง ๆ ทำให้ Vettle ที่น่าจะเป็นผู้นำและเอาชนะไปในสนามนี้ได้ แต่กลับต้องเสียตำแหน่งให้ Hamilton  และพลาดโอกาสการได้แชมป์ไปในที่สุด

สำหรับฤดูกาลหน้าก็คงต้องติดตามกันว่า Ferrari จะกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์สนาม F1 ได้หรือไม่

อเล็กซานเดอร์ อัลบอน นักแข่งรถสัญชาติไทยที่จะได้ลงสู้ศึก F1 ฤดูกาล 2019

อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนไทย ที่วันนี้เราได้มีนักแข่งรถสัญชาติไทยที่จะได้ไปลงสู้ศึกในสนามแข่งรถที่ใหญ่และเป็นอันดับ 1 ของโลกนั่นก็คือการแข่งรถฟอร์มูล่า 1 “อเล็กซานเดอร์ อัลบอน” คนนี้เป็นใคร เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับเค้าคนนี้กัน

ทำความรู้จักกับอเล็กซานเดอร์ อัลบอน       

                อเล็กซานเดอร์ อัลบอนเป็นนักแข่งรถลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เกิดที่กรุงลอนดอนปัจจุบันอายุ 22 ปี ซึ่งล่าสุดได้เข้าร่วมการแข่งขันรถ FIFA Formula 2 Championship ฤดูกาล 2018 และได้เซ็นต์สัญญากับ Toro Rosso สำหรับการแข่งขัน Formula One World Championship ฤดูกาล 2019 เรียบร้อยแล้ว

จุดเริ่มต้นของการเป็นนักแข่ง

จุดเริ่มต้นการแข่งรถของอัลบอนเกิดขึ้นตั้งแต่เขาอายุยังน้อยโดยเริ่มจากการเป็นนักแข่งรถโกคาร์ทตั้งแต่ปี 2006 – 2010 และถือเป็นนักแข่งที่ประสบความสำเร็จในรายการแข่งขันมากมาย ได้แก่ รายการ Super  Honda National Championship ตั้งแต่ปี 2006 -2009 มาจนถึงรายการ 2010 European Championship โดยได้รับการสนับสนุนจากพ่อซึ่งเคยเป็นอดีตนักแข่งรถเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นเขาก็ได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีม Red Bull Junior ในปี 2012 และได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นนักแข่งสำหรับฤดูกาล Eurocup Formula Renault 2.0 2012 และเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 38 จากทั้งหมด 49 คัน หลังจากนั้นในปี 2015 อัลบอนก็ได้ย้ายมาลงแข่งในสนามที่ใหญ่ขึ้นคือ European Formula 3 แล้วแสดงความสามารถเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 7 หลังจากนั้นอีก 1 ปีต่อมาอัลบอนก็ได้เซ็นต์สัญญากับ ART ในการแข่งขัน GT3 Series และได้แชมป์โดยเขาทำหน้าที่เป็นนักแข่งคนที่ 2 ของทีมและล่าสุดในปี 2018 เขาก็ได้เข้าร่วมการแข่งขัน FIFA Formula 2 Championship และเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 10 ซึ่งถือเป็นผลงานที่ไม่เลวสำหรับการเข้าร่วมแข่งขันเป็นปีแรก และได้ทำการเซ็นต์สัญญาเพื่อร่วมเป็นหนึ่งในนักแข่งของทีม Nissan edams สำหรับการแข่งขัน Formula E ฤดูกาล 2018-2019

การเซ็นต์สัญญาเพื่อร่วมแข่งรถสูตรหนึ่ง

                เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมาได้รับการยืนยันว่าอัลบอนได้รับการปล่อยตัวจากสัญญาของ Nissan edams ที่เซ็นต์ไว้และในวันเดียวกันนั้นเองเขาก็ได้เซ็นต์สัญญาเข้าร่วมทีมกับ Toro Rosso เพื่อลงแข่งขันในสนาม Formula 1 ฤดูกาล 2019 อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นการกลับมาร่วมงานกับสปอนเซอร์หลักอย่าง Red Bull อีกครั้ง

การเซ็นต์สัญญาครั้งนี้ทำให้อเล็กซานเดอร์ อัลบอนถือเป็นนักแข่งสัญชาติไทยคนที่ 2 ที่สร้างประวัติศาสตร์การลงแข่งในสนามรถสูตร 1 ถือเป็นความภูมิใจของชาวไทยที่มีนักแข่งสามารถก้าวสู่ทัวร์นาเมนท์การแข่งรถระดับโลกได้ ใครเป็นแฟนมอเตอร์สปอร์ตก็อย่าลืมคอยเชียร์และเป็นกำลังใจให้กับอเล็กซานเดอร์ อัลบอน หนุ่มลูกครึ่งไทยอังกฤษคนนี้กันด้วย