อัพเดทสนามแข่งรถ MotoGP 19 สนามทั่วโลก แต่ละที่มีจุดเด่นอย่างไรบ้าง

รายการแข่ง MotoGP สุดยอดรายการแข่งรถมอเตอร์ไซค์ทางเรียบต้องใช้สนามแข่งถึง 19 สนามเพื่อชิงชัยกันในแต่ละฤดูกาลเลยทีเดียว มาดูกันว่าแต่ละสนามนั้นอยู่ที่ไหนบ้างและมีจุดเด่นที่น่าสนใจอย่างไร

สนามที่ 1 : Losail International Circuit ประเทศกาตาร์ (QATAR GP)  

สนามแห่งนี้มีลักษณะของภูมิประเทศเป็นทะเลทราย จึงมีสภาพภูมิอากาศที่ร้อนจัด มีระยะทาง 5.4 กิโลเมตร จำนวนทางโค้ง 16 โค้ง จึงต้องจัดการแข่งขันในเวลากลางคืน หรือแบบ Night Race  

Highlight : โค้งที่ 10 ซึ่งเป็นโค้งหักศอกถึงเกือบ 90 องศา และโค้งที่ 16 ที่เป็นโค้งสุดท้ายก่อนที่นักแข่งจะสามารถบิดเร่งความเร็วสำหรับทางตรงก่อนเข้าเส้นชัย

สนามที่ 2 : Termas de Rio Hondo Circuit ประเทศอาร์เจนตินา (ARGENTINA GP)

สนาม Termas de Rio Hondo Circuit มีระยะทาง 4.8 กิโลเมตร และมีโค้ง 14 โค้ง

Highlight : จุดเด่นของสนามจะอยู่ในโค้งที่ 3 โค้งยูเทิร์นซึ่งมีความลาดเล็กน้อย ถือเป็นจุดท้าทายและอันตราย หากนักแข่งพลาดก็มีโอกาสหลุดโค้งได้เสมอ

สนามที่ 3 : Circuit of the Americas ประเทศสหรัฐอเมริกา (AMERICAS GP)

สนามที่ 3 นี้ มีระยะทาง 4.8 กิโลเมตร โค้งทั้งหมด 20 โค้ง ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้แข่งรถ Formula 1 ทำให้มีโค้งหลายรูปแบบและมีความโหดมากทีเดียว

Highlight : อยู่ที่โค้งที่ 11 ซึ่งเป็นโค้งก่อนทางตรง นักแข่งจะเร่งความเร็วสุงสุดเพื่อแซงนักแข่งคนอื่น ๆ หรือพลิกเกมได้จากโค้งที่ 11 นี้

สนามที่ 4 : Circuit de Jerez ประเทศสเปน (SPANISH GP)

เป็นสนามที่มีระยะทาง 4.4 กิโลเมตร โค้ง 13 โค้ง

Highlight : โค้งที่ 6 โค้งยูเทิร์นนี้ รอปราบเซียนนักแข่งที่หากบิดกันเพลินจากช่วงทางตรงก็อาจจะพลาดท่าได้เหมือนกัน

สนามที่ 5 : Le Mans ประเทศฝรั่งเศส (FRENCH GP)

มีระยะทาง 4.2 กิโลเมตร โค้ง 14 โค้ง สนามนี้ถูกใช้เป็นสนามแข่งขัน “The 24 Hours of Le Mans” หรือการแข่งขันรถที่ใช้ความเร็วสูงต่อเนื่องถึง 24 ชั่วโมง

Highlight : ตัวสนามมีโค้งที่สุดแสนจะโหด โดยเฉพาะโค้งที่ 13 และ 14 ที่เป็นโค้งแคบต่อเนื่องกัน ถือเป็นจุดที่นักแข่งสามารถพลิกโอกาสในการขึ้นนำนักแข่งคนอื่น ๆ ได้เลย

สนามที่ 6 : Autodromo di Mugello ประเทศอิตาลี (ITALIAN GP)

มีระยะทาง 5.2 กิโลเมตร มี 15 โค้ง ตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือเมืองฟลอเรนซ์ ถูกขนานนามว่าเป็นสนามแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ทางเรียบที่สวยงามที่สุด

Hilight : โค้งที่ 6 และ 7 เป็นจุดที่ผู้นำมักถูกแซง เนื่องจากลักษณะโค้งถัดไปถูกวางไว้ให้นักบิดต้องชะลอความเร็วเพื่อเตรียมตัวเข้าโค้งต่อไป

สนามที่ 7 : Circuit de BarcelonaCatalunya ประเทศสเปน (CATALAN GP)

มีระยะทาง 4.7 กิโลเมตร มี 13 โค้งถือเป็นสนามที่ทันสมัยที่สุด มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิเช่น ร้านอาหาร ศูนย์สื่อสารต่าง ๆ รวมถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์

Highlight : โค้งที่ 3 ต่อเนื่องยาวไปโค้งที่ 4 เป็นโค้งยาวสามารถไต่ความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง ถ้านักแข่งสามารถบิดเข้าโค้งไฮสปีดนี้ได้ ก็จะได้เปรียบนักแข่งคนอื่นทันที         

สนามที่ 8 : TT Circuit Assen ประเทศสเปน (DUTCH GP)

มีระยะทาง 4.5 กิโลเมตร โค้ง 18 โค้ง ถูกขนานนามว่าเป็น “The Cathedral” ความยากและท้าทายของสนามแห่งนี้ คือสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างมาก ทั้งฝนตกและมรสุม

Highlight : โค้งที่ 16 17 18 เป็นโค้งตัว S ก่อนเข้าทางตรง Grandstand นักแข่งต้องมีทักษะการเบรกและพลิกตัวอย่างรวดเร็วเพื่อบิดเร่งทำความเร็วอีกครั้ง

สนามที่ 9 : Sachsenring ประเทศเยอรมนี (GERMAN GP)

มีระยะทางถือว่าสั้นที่สุดเพียง 3.7 กิโลเมตร และมีโค้ง 13 โค้ง

Highlight: ระหว่างโค้ง 12 และ 13 เป็นทางตรงเชื่อมระหว่าง 2 โค้ง ตัวโค้งมีความลาดเอียง ทำให้ความเร็วจากการเร่งจะเพิ่มขึ้น และโค้งที่ 13 นี้เองก็จะทำให้นักแข่งบางคนไถลหลุดโค้งได้

สนามที่ 10 : Automotodrom Brno ประเทศสาธารณรัฐเช็ก (CZECH GP)

สนามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีระยะทาง 5.4 กิโลเมตร ทั้งหมด 14 โค้ง ด้วยสถานที่ที่เป็นแอ่งกระทะทำให้พื้นผิวสนามมีลูกเล่นไล่ระดับไปกับภูมิประเทศแบบเนิน

Highlight : โค้งที่ 10 เป็นรูปแบบของโค้งไฮสปีดที่นักแข่งจะลดความเร็วจากทางตรงเพื่อมาวัดใจกันในโค้งนี้

สนามที่ 11 : Red Bull Ring Spielberg ประเทศออสเตรีย (AUSTRIA GP)

มีระยะทาง 4.3 กิโลเมตร โค้ง 10 โค้ง ทางตรงของสนามนั้นมีความลาดชัน และมีระดับสูง-ต่ำสลับกันไปมา

Highlight : รูปแบบของสนามที่มีความสูงต่ำสลับกันไปมาในทางตรงยาว ทำให้นักแข่งต้องระวังในการเปิดคันเร่งและเบรกให้ดี

สนามที่ 12 : Silverstone Circuit ประเทศอังกฤษ (GREAT BRITAIN GP)

มีระยะทางของสนามยาวที่สุดคือ 5.9 กิโลเมตร จำนวน 18 โค้ง จึงทำให้มีจำนวนรอบการแข่งน้อยกว่าสนามอื่นซึ่งมีเพียง 20 รอบ

Highlight : โค้งที่ 14 มี ทางตัด 90 องศา ก่อนเข้าโค้งนี้มีเส้นทางตรงระยะสั้นหลังจากโค้ง 12 และ 13 บังคับให้นักแข่งเปิดคันเร่งเพื่อขึ้นเนินในโค้งที่ 14 หากนักแข่งไม่ระวังตัวจากองศาของตัวโค้งนี้ก็อาจจะพลาดท่าได้ง่าย

สนามที่ 13 : Marino World Circuit Marco Simoncelli ประเทศอิตาลี (SAN MARINO GP)

สนามนี้มีระยะทาง 4.2 กิโลเมตร 16 โค้ง มีศักยภาพที่สามารถรองรับการแข่งขันทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เป็นสนามที่มีพลังงานสะอาดและระบบที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยไม่มีการปล่อยมลพิษ

Highlight : สำหรับเหล่านักแข่ง คือทางตรงยาวในหลายจุดที่สามารถใช้ความเร็วได้เต็มที่ แต่ก็มีจุดที่นักแข่งต้องระวัง คือสภาพอากาศที่มีความชื้นสูงโอกาสที่ฝนจะตกบ่อยจนกลายเป็นการแข่งแบบ Wet Race และจุดโค้งที่ 14 ซึ่งเป็นโค้งตัว U หากนักแข่งไม่ระวังอาจจะพลาดไถลออกโค้งได้

สนามที่ 14 : Motorland Aragon ประเทศสเปน (ARAGON GP)

 มีระยะทาง 5.1 กิโลเมตร มี 17 โค้ง เป็นสนามที่มีความครบครัน ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย โรงแรม แหล่งช้อปปิ้ง และศูนย์วิจัยการกีฬา

Highlight : ในโค้งที่ 16 โค้งตัดสินชะตาของนักแข่ง ก่อนที่จะบิดคันเร่งเต็มกำลังในทางตรงที่ยาว 968 เมตร

สนามที่ 15 : Chang International Circuit ประเทศไทย (Thai GP)

มีระยะทาง 4.5 กิโลเมตร โค้ง 12 โค้ง ได้รับการออกแบบจาก คุณ Hermann Tilke ชาวเยอรมัน อดีตนักแข่งและสถาปนิกที่ผ่านการออกแบบสนามแข่งระดับโลกหลาย ๆ แห่งมาแล้ว

Highlight : สามารถรองรับการแข่งขัน Formula 1 ได้ เพราะเป็นสนามที่สามารถทำความเร็วได้กว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมถึงความเร็วในโค้งร่วม 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง นอกจากนี้ในโค้งสุดท้ายโค้งที่ 12 เป็นโค้งวัดชะตาก่อนเข้าทางยาวนำสู่เส้นชัย เป็นโค้งที่ออกแบบมาเพื่อที่ให้ผู้ตามสามารถกลายเป็นผู้นำด้วยจังหวะเพียงพริบตา

สนามที่ 16 : Twin Ring Motegi ประเทศญี่ปุ่น (JAPANESE GP)

มีระยะทาง 4.8 กิโลเมตร โค้ง 14 โค้ง สนามนี้มี Honda Collection Hall พิพิธภัณฑ์ที่เก็บประวัติศาสตร์ทุกเรื่องของฮอนด้า รวมถึงต้นแบบหุ่นยนต์อาซิโมก่อนจะเป็นหุ่นยนต์ขวัญใจคนทั่วโลก

Highlight: สนามนี้มีโค้งตัว U อยู่หลายจุด เบรกจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุด หากผิดพลาดในช่วงท้ายอาจพลาดเสียอันดับให้นักบิดคนอื่นได้

สนามที่ 17 : Phillip Island ประเทศออสเตรเลีย (AUSTRALIAN GP)

สนามใกล้ชายทะเล ที่มีวิวทิวทัศน์การแข่งขันผสานกับวิวทะเลที่ยาวสุดลูกหูลูกตา ระยะทางทั้งหมด 4.4 กิโลเมตร มี 12 โค้ง

Highlight : โค้ง 10 เป็นทางโค้งแคบแบบปิดมุมคล้ายตัว V และยากต่อการมองเห็น และต้องใช้ความเร็วสูงเพื่อจะรักษาพ้นโค้งให้ได้ ซึ่งนักแข่งต้องใช้ทักษะค่อนข้างสูง

สนามที่ 18 : Sepang International Circuit ประเทศมาเลเซีย (MALAYSIAN GP)

มีระยะทาง 5.5 กิโลเมตร โค้ง 15 โค้ง ขึ้นชื่อว่าเป็นสนามแห่งความเร่าร้อน เพราะคลื่นความร้อนจากภูมิประเทศแผ่สู้กับฟอร์มความร้อนแรงของนักแข่ง สนามแห่งนี้ต้องใช้ทักษะในการขับขี่ที่ค่อนข้างสูง

Highlight : โค้งที่ 15 เนื่องจากมีทางตรงก่อนเข้าและหลังออกจากโค้ง นักแข่งจึงใช้ความเร็วอย่างเต็มกำลังในทางตรงก่อนเข้าโค้งและควบคุมรถให้ดีหลังจากออกจากโค้งที่ 15 นี้

สนามที่ 19 : Circuit Ricardo Tormo ประเทศสเปน (VALENCIA GP)

มีระยะทาง 4.0 กิโลเมตร 14 โค้ง จุดเด่นคือเป็นสนามปิดท้ายฤดูกาล หรือที่รู้จักกันในชื่อ Circuit de Valencia  สนามมีความแคบของแทร็กเป็นอาวุธ ทำให้แซงกันได้ยากพอสมควร

Highlight : สนามแห่งนี้เป็นไฮไลท์ตบท้ายรายการนี้ ด้วยความแคบของสนามแข่งขันที่กว้างเพียง 12 เมตรทำให้เกิดความยากในการแซงของนักแข่ง ตัวนักแข่งต้องใช้ความสามารถในการควบคุมรถและไหวพริบในการโค้งค่อนข้างมาก

ทั้งหมด 19 สนามของรายการ MotoGP แต่ละสนามนับว่ามีความท้าทายที่แตกต่างกันไป ทำให้รู้ว่านักแข่งกว่าจะได้แชมป์มานั้นต้องมีทั้งทักษะและความสามารถในการขับขี่รถในสนามแข่งมากเลยทีเดียว

Monte-Carlo สนามแข่งขันรถทางเรียบที่ถูกโหวตว่าสวยที่สุดในโลก

ถ้าจะเอ่ยถึงการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่ใช้ความเร็วมากที่สุด ก็คงเป็นรายการ Formula 1 ที่นักแข่งความเร็วทั่วโลกต่างใฝ่ฝันที่จะได้เข้าร่วมรายการนี้ และถ้าเอ่ยถึงสนามแข่ง Formula1 หรือเรียกสั้น ๆ ว่า F1 มีสนามที่เรียกว่าสวยงามมากที่สุดในบรรดาสนามแข่งทั้งหมด ก็คงหนีไม่พ้นสนาม Monte-Carlo Street Circuit ประเทศโมนาโก (Monaco)

สนามแข่งรถ Monte-Carlo (มอนติคาร์โล) แห่งประเทศโมนาโกเป็นหนึ่งใน 18 สนามแข่งขันรถ F1 ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความงดงามและยิ่งใหญ่มากที่สุดในโลก ด้วยความสวยงามของเมืองมอนติคาร์โลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกเพราะลักษณะทางกายภาพของเมืองที่อยู่ใกล้กับตีนเขาแอลป์ (Alp) และยังถูกล้อมรอบด้วยทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มอนติคาร์โลจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สุดแสนโรแมนติกมากแห่งหนึ่งของโลก

สนามแข่งรถ Monte-Carlo เป็นถนนที่อยู่บริเวณท่าเรือที่มีชื่อเสียงของประเทศโมนาโก มีความยิ่งใหญ่ด้วยระยะทาง 78 รอบตลอดสนามแข่งขัน 3.340 กิโลเมตร ซึ่งต้องวิ่งไปตามถนนที่แคบและคดเคี้ยวของมอนติคาร์โลและลาคอนดามีน ส่วนทางตรงสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 160 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว จึงเป็นสนามแข่งรถที่มีทั้งความสวยงามและความน่าตื่นเต้นที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ สนามแห่งนี้ถูกใช้เป็นสนามแข่งรถ F1 หรือเรียกว่า Monaco Grand Prix ตั้งแต่ปี 1929 เวลาในการเซ็ตสนามแข่งขัน ใช้เวลาถึง 6 สัปดาห์ และใช้เวลารื้อถอนอีก 3 สัปดาห์หลังการแข่งขันเสร็จสิ้น

ประวัติความเป็นมาที่น่าทึ่งและความเย้ายวนใจของสนาม MonteCarlo

ก่อนจะมาเป็นสนามแข่งกรังด์ปรีซ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและมีความสมบูรณ์แบบ ผู้ริเริ่มการแข่งขันครั้งแรกของสนามแห่งนี้คือประธาน Automobile Club de Monaco คือคุณ Antony Noghes ในปี 1929 และนักแข่งที่สามารถขับเข้าเส้นชัยได้เป็นคนแรกคือ William Grover-Williams ด้วยรถแข่ง Bugatti Type35

การปรับปรุงสนามครั้งที่ 1 เมื่อปี 1973-1975 จากสนามเดิมที่มีความยาว 3.145 กิโลเมตร จำนวน 14 โค้ง ได้ปรับความยาวสนามเพิ่มขึ้นเป็น 3.278 กิโลเมตร จำนวนโค้ง 14 โค้ง (เท่าเดิม) จากนั้นมีการปรับปรุงสนามอีกหลายครั้ง โดยการปรับปรุงครั้งที่ 4 ในปี 1997-2002 มีความยาวอยู่ที่ 3.328 กิโลเมตร จำนวน 25 โค้ง

จนกระทั่งในปี 2003 มีการปรับปรุงสนามแข่ง Monte-Carlo อีกครั้งให้มีความยาวของสนามอยู่ที่ 3.340 กิโลเมตร จำนวนโค้ง 19 โค้ง โดยนักแข่งที่สามารถทำเวลาดีที่สุดในสนามแห่งนี้ คือ มิชชาเอล ชูมัคเคอร์ (Michael Schumacher) นักแข่งรถสูตรหนึ่งชื่อดัง ชาวเยอรมัน ในรถ Ferrari 2004 ด้วยเวลา 1.14.439 นาทีเท่านั้น

ด้วยความสวยงามและทัศนียภาพที่เย้ายวนใจของสนามแข่งมอนติคาร์โล กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจมากที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าไปสัมผัสการแข่งขันกรังด์ปรีซ์อย่างใกล้ชิด ช่วงเทศกาลผู้คนต่างจองตั๋วเพื่อให้ได้ที่นั่งที่ดีที่สุดเพื่อชมการประลองความเร็วในสนามแห่งนี้ และหากเป็นนอกฤดูกาลแข่งขันผู้คนที่เป็นแฟน F1 ต่างก็ชื่นชอบที่จะลองขับรถไปตามถนนที่ใช้เป็นสนามแข่งซึ่งสามารถมองเห็นสถานที่ที่สำคัญและสวยงามของเมืองได้ชัดเจน เช่น พระราชวังพรินซ์, คาสิโนมอนติคาร์โลและท่าเรือโมนาโก เป็นต้น

ข้อดีของการแข่งรถในสนามแข่งขัน

การแข่งรถซิ่ง ใครต่อใครก็คงมองว่ามันเป็นเรื่องที่สุดแสนจะอันตราย ทั้งนี้ก็เพราะว่าความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการแข่งรถของคนไทยยังน้อยมาก อีกทั้งการแข่งรถก็ไม่เป็นที่นิยมในไทยมากนัก ส่วนหนึ่งก็เพราะค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง คนที่จะเข้าถึงการแข่งรถในสนามแข่งได้ ส่วนมากก็จะต้องเป็นคนรวยเท่านั้น แต่หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจในกีฬาแข่งรถ วันนี้เราจะพามาดูข้อดีในสนามแข่ง ว่ามีอะไรกันบ้าง

1.ความปลอดภัยสูง

สิ่งแรกที่จัดได้ว่าเป็นข้อดีของการแข่งขันรถในสนามแข่งก็คือ ความปลอดภัยสูงสุด เนื่องจากสนามแข่งรถนั้นสร้างขึ้นเพื่อให้รถซิ่งต่าง ๆ มาแข่งกันอยู่แล้ว โครงสร้างถนน หรือแม้แต่องศาของโค้งก็ย่อมมีมาตรฐาน เหมาะสมกับการขับรถด้วยความเร็วสูงมากกว่าถนนธรรมดา

2.มือใหม่สามารถขับได้แบบสบาย ๆ

อย่างที่กล่าวมาแล้วในข้างต้นว่าสนามแข่งขันรถนั้นจัดทำถนนเพื่อการแข่งขัน ดังนั้นมือใหม่จึงสามารถขับได้แบบสบายใจไร้กังวล นอกจากไม่ต้องคอยระวังเรื่องมาตรฐานของถนนแล้ว ยังไม่ต้องระวังรถอื่น ๆ แบบการขับขี่บนถนนทั่ว ๆ ไปอีกด้วย คุณสามารถขับขี่ได้ และหัดขับรถแข่งได้เท่าที่ใจต้องการอย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง

3.มีสมาธิจดจ่อกับการขับขี่มากกว่าเดิม

หากไปขับบนถนนทั่วไป แน่นอนว่านักขับจะต้องใช้ความระแวดระวังกับรถคันอื่น ๆ ที่ขับตามปกติ นอกจากนี้ยังไม่ได้ฝึกทักษะเกี่ยวกับการขับรถแบบที่ตั้งใจอีกด้วย แตกต่างจากการขับในสนามที่หากได้ขับแล้วคุณจะเพลิดเพลินไปกับการขับขี่ด้วยความเร็วสูง และได้พัฒนาฝีมือให้มากขึ้นกว่าเดิม

4.ได้รู้จักนักซิ่งคนอื่น ๆ

สนามแข่งรถเหมือนเป็นแหล่งรวบรวมเอานักซิ่งไว้ด้วยกัน หากคุณได้ลองไปที่สนามสักครั้ง คุณจะได้รู้จักเพื่อนนักซิ่งมากมาย รวมถึงรู้จักนักซิ่งที่มีประสบการณ์ในการขับขี่ สามารถแนะนำเทคนิคการขับขี่ที่ดี ๆ ให้กับคุณได้ คุณจะมีเพื่อนเป็นก๊วนนักซิ่ง ที่ทำให้คุณไม่เบื่อหน่ายเวลามาซ้อมขับรถอีกต่อไป แตกต่างจากการหัดซิ่งคนเดียว ที่บางครั้งอาจจะมีความเบื่อหน่ายหรือท้อแท้บ้าง แต่หากว่ามีเพื่อน เพื่อนจะคอยฉุดดึงให้คุณมีกำลังใจซ้อมมากกว่าเดิม

5.ไม่ทำให้คนทั่วไปมองนักซิ่งในแง่ร้าย

ต้องบอกเลยว่าคนไทยส่วนใหญ่บางครั้งมักมองนักซิ่งในแง่ร้าย บางทีพาลมองว่าเป็นสายแว้น นั่นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีนักซิ่งบางส่วนนิยมซิ่งในถนนสาธารณะรบกวนการใช้รถใช้ถนนของคนทั่วไป การขับในสนามจะทำให้มุมมองของคนอื่น ๆ มองนักซิ่งในแง่ดีกว่าเดิม

หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่อยากลองขับรถซิ่ง และไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ไหนดี แนะนำว่าให้ลองไปที่สนามแข่งรถก่อนจะดีที่สุด การไปสัมผัสบรรยากาศการแข่งรถจะทำให้คุณตัดสินใจได้ว่าแท้จริงแล้วคุณชอบกีฬารถแข่งมากแค่ไหน ไม่แน่ว่าคุณอาจจะเป็นนักซิ่งมืออาชีพในอนาคตก็เป็นได้

ออโต้ครอสการแข่งขันรถยนต์ของทักษะชั้นสูง

ในการขับขี่รถยนต์สิ่งที่จำเป็นสำหรับการขับขี่คือ ทักษะที่ใช้ในการขับรถยนต์ เพราะถ้าหากไม่มีทักษะในการขับขี่รถยนต์การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เข้ามาโดยไม่คาดคิด อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุที่อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นการฝึกการขับรถยนต์ที่ใช้ทักษะในการขับขี่อย่างมาก จะทำให้ชีวิตที่อยู่บนท้องถนนมีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งการแข่งขันแบบออโต้ครอสเป็นการแข่งขันรถยนต์ที่ใช้ทักษะในการขับขี่แข่งขันสูง ทำให้เหมาะแก่การศึกษาเรียนรู้ฝึกหัดและทดสอบในการแข่งขันรถยนต์ประเภทนี้ เพื่อรักษาชีวิตบนท้องถนนให้ปลอดภัยกว่าที่เคยเป็น

การแข่งขันออโต้ครอสมีลักษณะคล้ายกับการแข่งขันแบบจิมคาน่า จนทำให้ผู้ที่พบเห็นการแข่งขันออโต้ครอสแบบผิวเผินเข้าใจว่าเป็นการแข่งขันในแบบเดียวกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการแข่งรถยนต์ในแบบทั้ง 2 ไม่ใช่การแข่งขันที่มีความเหมือนกัน เพราะการแข่งขันแบบจิมคาน่านั้นจะมีการจัดสถานที่การแข่งขันในรูปแบบเส้นทางที่ไม่มีทิศทางที่แน่นอน เพื่อเป็นการท้าทายการขับขี่ของเกมส์การแข่งขัน ส่วนการแข่งขันในแบบออโต้ครอสที่แท้จริงแล้วเป็นการขับที่เน้นการขับขี่ในทางเรียบ และจำลองเส้นทางการใช้งานที่ใช้บนท้องถนนได้จริง

ลักษณะในการแข่งขันรถยนต์แบบออโต้ครอส ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การแข่งขันแบบประเภททางเรียบในลานกว้าง และการแข่งขันชิงชัยในประเภททางฝุ่น โดยในการแข่งขันจะเน้นทักษะในการควบคุมรถไม่ให้ชนกับไพล่อนยางรถยนต์เก่าที่ได้นำมาทำเป็นขอบเขตเส้นทางในการแข่งขัน ซึ่งสามารถใช้ความเร็วของรถยนต์เท่าใดก็ได้ในการขับขี่ และผู้เข้าแข่งขันคนใดทำเวลาได้น้อยที่สุดจะเป็นผู้ชนะสำหรับการแข่งขันรถยนต์รายการนี้ ส่วนรถที่ใช้สำหรับการแข่งขันเป็นรถ 4 ล้อประเภทใดก็ได้ในการลงแข่ง แต่ต้องเช็คสภาพรถยนต์ในช่วงล่างและยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับผิวสนามในแต่ละสถานที่เสียก่อน โดยการแข่งขันออโต้ครอสจะเริ่มจากการจับเวลารถยนต์ตั้งแต่จุดปล่อยตัวเข้าสนามไปจนถึงสิ้นสุดระยะทางการแข่งขันเพียง 1 คันต่อ 1 รอบเท่านั้น หากผู้เข้าแข่งขันคนใดสามารถทำเวลาในการแข่งขันได้น้อยที่สุดจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะ

ออโต้ครอสเป็นที่นิยมมากในหลายประเทศโดยเฉพาะอเมริกา เนื่องจากเป็นการแข่งขันที่ใช้รถใดชนิดใดก็ได้ในการลงแข่ง พร้อมทั้งยังเป็นการแข่งขันที่ปลอดภัยที่สุดในการแข่งขันรถยนต์ทุกรูปแบบ และมีค่าใช้จ่ายในการแข่งขันต่ำมากอีกด้วย โดยในประเทศไทยได้มีการจัดการแข่งขันออโต้ครอสขึ้นในหลายพื้นที่ อย่างเช่น ลานอเนกประสงค์ ห้างสรรพสินค้า ซีคอนสแควร์ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในการจัดการแข่งขันรถยนต์ออโต้ครอส

 

autosport911 ครบทุกข่าวสารของวงการมอเตอร์สปอร์ต

คนที่ชื่นชอบความเร็วและเป็นคนรักรถ หลงใหลในมนต์เสน่ห์ของความเร็ว แรง รวมถึงความสวยงามของรถแข่งและรถสปอร์ต autosport911 เป็นเว็บไซต์ที่ได้รวบรวมข่าวสารในวงการรถแข่งมาฝากกัน

การแข่งรถสปอร์ตนั้นเป็นมีประวัติเกิดขึ้นมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1984 ซึ่งการแข่งรถครั้งแรก เกิดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการฉลองที่สามารถผลิตรถยนต์เบนซิลขึ้นได้เป็นครั้งแรกของโลก จึงได้เกิดการจัดแข่งรถหรือที่เรียกว่ามอเตอร์สปอร์ตเกิดขึ้น ซึ่งในครั้งแรกเป็นการแข่งรถโดยระยะทาง 2 กิโลเมตรเท่านั้น และถือเป็นการแข่งรถครั้งแรกของโลกที่ประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจจากสาธารณชนเป็นอย่างดี

มาจนถึงปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าและพัฒนาของเทคโนโลยีทำให้มีรถแข่งรุ่นใหม่ รวมถึงสนามและเวทีการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับโลกที่ได้รับความนิยมเกิดขึ้นมากมาย ได้แก่

  1. Formula1 (FIA Formula One World Championship) การแข่งรถสูตร 1 ซึ่งถือเป็นสนามการแข่งรถในระดับสูงสุด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการจัดแข่งขันในสนามระดับโลกในทวีปยุโรป ซึ่งผู้ที่จะสามารถเข้ามาร่วมแข่งขัน และเจ้าหน้าที่ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการแข่งขัน Formula 1 ได้ จะต้องได้รับใบอนุญาต Super License จาก FIA หรือสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติเท่านั้น
  2. WTCC (FIA World Touring Car Championship) เป็นการแข่งรถยนต์ทัวร์ริ่งคาร์นานาชาติระดับโลก ซึ่งผู้ที่จะสามารถเปิดสนามเพื่อจัดการแข่งขันได้ จะต้องได้รับรองจากสหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ ซึ่งเมื่อปี 2558 สนามแข่งช้าง เซอร์กิต ในจังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทยของเรา ได้เคยเป็นเจ้าภาพในการจัดแข่งขัน WTCC ด้วย
  3. Super GT ซึ่งเป็นสนามแข่งรถยนต์ทางเรียบในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้มีการจัดแข่งขันรถยนต์ทางเรียบครั้งแรกมาตั้งแต่ปี 1993 ซึ่งในปัจจุบันการแข่งขัน Super GT เป็นการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่ได้รับความสนใจของนักแข่งและผู้ชมจากทั่วโลก และยังได้มีการจัดแข่งขันนอกประเทศญี่ปุ่นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งในการแข่งขัน Super GT นี้จะมีทั้งการจัดแข่งรถในระยะสั้นที่เรียกว่า Sprint Race ซึ่งจะแข่งด้วยระยะทาง 250-300 กิโลเมตร และการแข่งขันระยะทางไกล Endurance Race ซึ่งมีระยะทางถึง 1,000 กิโลเมตร ซึ่งการจัดแข่ง Super GT ระยะไกล จะเป็นการจัดแข่งในสนามที่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น

สำหรับผู้ที่สนใจติดตามข่าวสารและตารางการแข่งรถแข่ง และรถสปอร์ตต่าง ๆ autosport911 เป็นเว็บไซต์ที่ได้รวบรวมตารางการแข่งขัน ไฮไลท์การแข่ง ผลการแข่งขัน รวมถึงข่าวสารต่าง ๆ ในวงการไว้เพื่อให้แฟน ๆ ที่ชื่นชอบการแข่งรถสปอร์ตได้ติดตามกันอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังมีเทคนิคดีดีสำหรับคนที่อยากจะก้าวเข้าสู่วงการนักแข่งมาฝากกันอีกด้วย

 

ฟอร์มูลาวัน การแข่งรถสูตร 1 ระดับสูงสุดของโลก

                 สาวกมอเตอร์สปอร์ตทุกคนคงจะรู้จักสนามแข่งรถอันดับ 1 ระดับโลกอย่างฟอร์มูลาวันกันเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นการแข่งรถสูตรหนึ่งที่ได้รวบรวมเอารถระดับสูงสุดของโลก ด้วยฝีมือของนักแข่งระดับโลกมาประลองฝีมือกันในสนามนี้ วันนี้เราจะมาเล่าถึงการแข่งขันฟอร์มูลาวันให้กับมือใหม่ที่สนใจการแข่งรถฟังกันสักหน่อย

ฟอร์มูลาวัน หรือ การแข่งขันรถสูตรหนึ่ง หรือการแข่งขัน F1 ก็คือชื่อเรียกของการแข่งรถที่มีชื่อเต็มอย่างเป็นทางการว่า FIA Formula One World Championship ซึ่งเป็นการแข่งขันที่มีการกำหนดมาตรฐานโดยสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติ ซึ่งผู้ที่จะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการแข่งขันไม่ว่าจะเป็นนักแข่ง ผู้ผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์ ไปจนถึงเจ้าหน้าที่สนามจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตที่เรียกว่า Super License จาก FIA หรือสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติเท่านั้น

รถที่สามารถเข้ามาร่วมแข่งขันในสนามฟอร์มูลาวันได้นั้นจะต้องเป็นรถที่ได้มาตรฐานสูตรหนึ่ง ที่สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 360 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีรอบเครื่องยนต์สูงสุด 18,000 รอบต่อนาที ได้มาตรฐานตามที่สมาพันธ์รถยนต์นานาชาติกำหนดไว้เท่านั้น รถส่วนใหญ่ที่เป็นผู้สนับสนุนให้นักแข่งนำมาใช้ในสนามนี้จึงเป็นรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพจากค่ายรถชั้นนำระดับโลก ได้แก่ Ferrari, Renault, Mercedes, Ford, BMW, Honda และ TOYOTA และจากผลการแข่งขันล่าสุด เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมารถที่สามารถคว้าอันดับ 1 จากสนามแข่งสูงสุดสนามนี้ไปได้ ก็คือ Mercedes ที่สามารถครองแชมป์มาได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นใน ปี 2018 นี้ เบื้องต้นทีมที่จะเข้าแข่งขันมีด้วยกันทั้งสิ้น 10 ทีม จากค่าย Ferrari, Mercedes, Renault และ TAG Heuer โดยจะเป็นการแข่งขันแบบกันทั้งหมด 21 รอบ เริ่มแข่งรอบแรกที่สนาม Australia Grand Prix ในวันที่ 25 มีนาคม จนไปถึงรอบสุดท้ายในวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่สนาม Abu Dhabi Grand Pix โดยการจัดแข่งขันในปี 2018 นี้ จะมีสนามในเอเชียที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสนามแข่ง ได้แก่ Chinese Grand Pix ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ที่จะมีการจัดแข่งขันในวันที 15 เมษายน, Singapore Grand Pix, Marina Bay ประเทศสิงค์โปร์ ในวันที่ 16 กันยายน และ Japan Gran Pix ประเทศญี่ปุ่นที่จะมีการจัดแข่งขันในวันที่ 7 ตุลาคม สำหรับสาวกมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยที่สนใจการเข้าไปชมการแข่งขันในสนามจริง ก็สามารถเตรียมตัวจองตั๋วเครื่องบิน วางแผนการเดินทางและซื้อบัตรเข้าชมกันได้เลย และหากคุณต้องการอัพเดตข่าวสารของวงการมอเตอร์สปอร์ autosport911 เป็นเว็บไซต์ที่ได้รวบรวมข่าวคราวต่าง ๆ ของวงการรถแข่งให้คุณได้ทราบก่อนใคร ที่นี่ที่เดียว !!

 

สนามแข่งมาตรฐานในประเทศไทย ที่สาวกมอเตอร์สปอร์ตต้องรู้จัก

สนามแข่งมาตรฐานในประเทศไทย ที่สาวกมอเตอร์สปอร์ตต้องรู้จัก

                คอมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย เชื่อว่าหลายคนคงจะมีโอกาสได้ไปชมการแข่งรถที่สนามแข่งมาตรฐานระดับสากลที่อยู่ในประเทศไทยของเรากันมาบ้างแล้ว แต่สำหรับบางคนที่ยังไม่มีโอกาส วันนี้เราได้นำสนามมาตรฐานในประเทศไทย มาแนะนำให้ทุกคนรู้จักกัน เผื่อใครมีเวลาว่าง ชื่นชอบความเร็ว หรือมีวันหยุด จะได้หาโอกาสไปชมการแข่งขันของจริงกันแบบติดขอบสนามได้ สำหรับสนามแข่งที่เรานำมาแนะนำกันในวันนี้ ได้แก่

  1. สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ตั้งชื่อตามบริษัทเบียร์ช้าง ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของสนามในปัจจุบัน สนามแห่งนี้ เป็นสนามที่โด่งดัง มีชื่อเสียงไปก้องโลก เนื่องจากสนามนี้ได้รับการรับรองว่าเป็นสนามแข่งรถที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก จากสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติ หรือ FIA รับรองให้สามารถใช้เป็นสนามที่สามารถจัดแข่งรถฟอร์มูลาวัน รถสูตรหนึ่ง ระดับสูงสุดของโลกได้เป็นสนามแรกและสนามเดียวในประเทศไทย และอย่างที่รู้กันว่าสนามแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยความร่วมมือของนายเนวิน ชิดชอบกับหอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ต้องการพัฒนาเมืองบุรีรัมย์ ให้เป็นเมืองกีฬามาตรฐานระดับโลกนั่นเอง สนามแห่งนี้ใช้ทุนการสร้างถึง 2 พันล้านบาท และได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมมาตั้งแต่ปี 2557 รวมถึงยังได้มีการจัดแข่งรถในเวทีระดับโลกมาแล้วหลายหลายการได้แก่ รายการซุปเปอร์จีที รวมถึงยังถูกใช้เป็นสนามแข่งรถยนต์ทางเรียบและมอเตอร์ไซด์ทางเรียบหลายรายการ โดยในปี 2018 นี้ สนามช้างอินเตอร์เนชั่ลเนล เซอรกิต ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นสนามแข่ง Asian Le Mans Series ซึ่งเป็นรายการใหญ่หนึ่งเดียวของทวีปเอเชีย ที่มีเป้าหมายหลักในการสร้างนักแข่งรถชาวเอเชีย ให้ก้าวไปสู่การแข่งขันรายการที่ยิ่งใหญ่ของโลกอีกด้วย
  2. สนามพีระเซอร์กิต หรือ ที่รู้จักกันในชื่อของสนามพัทยาเซอร์กิต ตั้งอยู่ใน อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เป็นสนามแข่งรถมาตรฐานของไทยสนามแรกที่ได้รับการรับรองจากสมาพันธ์กีฬาแข่งรถนานาชาติ (FIA)
  3. สนามไทยแลนด์เซอร์กิต หรือที่รู้จักกันในนามสนามนครชัยศรี มอเตอร์สปอร์ต คอมเพล็กซ์ เป็นสนามที่ตั้งอยู่ใน อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม สนามนี้เป็นสนามที่ใช้แข่งรถมอเตอร์ครอส อีกทั้งยังใช้เป็นสนามแข่งรถยนต์ทางเรียบ และสนามวิบากของเวทีรถแข่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ

สำหรับคอมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยที่ต้องการติดตามข่าวคราว อัพเดตตารางการแข่งรถ และข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับมอเตอร์สปอร์ตทั้งในประเทศและต่างประเทศ Autosport911 เป็นเว็บไซต์ที่ได้รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ส่งตรงมาให้คุณถึงบ้านแล้วตั้งแต่วันนี้