ลูอิส แฮมิลตัน: ตำนานนักแข่งผู้พังทลายอุปสรรค

ลูอิส แฮมิลตัน ชื่อที่สื่อถึงความเร็ว ทักษะ และความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง ได้จารึกชื่อของเขาไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ต เกิดเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2528 ในเมืองสตีเวนิจ ประเทศอังกฤษ การเดินทางของแฮมิลตันจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ น้อยๆ สู่การเป็นแชมป์โลกฟอร์มูลาวัน 7 สมัยเป็นข้อพิสูจน์ถึงความหลงใหลที่ไม่เปลี่ยนแปลงและพรสวรรค์ที่หาตัวจับยากของเขา

ตั้งแต่อายุยังน้อย เห็นได้ชัดว่าแฮมิลตันมีของขวัญหายากสำหรับการแข่งรถ รู้จักการแข่งรถโกคาร์ทตั้งแต่อายุแปดขวบ เขาฝึกฝนทักษะอย่างรวดเร็ว แสดงความเร็วและการควบคุมที่น่าทึ่งบนสนามแข่ง ขณะที่เขาเลื่อนตำแหน่ง พรสวรรค์อันน่าทึ่งของเขาได้รับความสนใจจากรอน เดนนิส ซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้าทีมของแมคลาเรน

ในปี 2550 เมื่ออายุได้ 22 ปี แฮมิลตันเปิดตัวฟอร์มูล่าวันกับทีมแมคลาเรน-เมอร์เซเดส กลายเป็นนักแข่งรถผิวดำคนแรกในประวัติศาสตร์ของกีฬาชนิดนี้ ในปีใหม่ของเขา เขาแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะที่เกินอายุของเขา แสดงการแซงที่น่าทึ่ง กลยุทธ์ที่คำนวณได้ และความสามารถที่แปลกประหลาดในการปรับตัวเข้ากับสภาพเส้นทางที่แตกต่างกัน แม้ญาติของเขาไม่มีประสบการณ์ แต่การแสดงของแฮมิลตันก็ไม่ได้ขาดความพิเศษ ทำให้เขาได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวางและท้าทายกฎของกีฬานี้

ความก้าวหน้าของแฮมิลตันเกิดขึ้นในปี 2551 เมื่อเขาเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่เพื่อชิงแชมป์กับเฟลิเป้ มาสซาแห่งเฟอร์รารี ในตอนจบที่กัดเล็บที่ Brazilian Grand Prix การแซงของแฮมิลตันในรอบสุดท้ายทำให้เขาจบอันดับที่ 5 ทำให้เขาได้รับคะแนนที่จำเป็นเพื่อแย่งแชมป์จาก Massa เพียงแต้มเดียว มันเป็นช่วงเวลาสำคัญในอาชีพของเขา ทำให้เขากลายเป็นแชมป์โลก Formula One ที่อายุน้อยที่สุดในเวลานั้น

ในปีต่อ ๆ มา แฮมิลตันยังคงเขียนบันทึกใหม่ โดยทิ้งร่องรอยที่ลบไม่ออกไว้บนวงการกีฬา การย้ายไปร่วมทีม Mercedes-AMG Petronas Formula One ในปี 2013 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความสำเร็จที่ผลักดันเขาไปสู่ความสำเร็จขั้นใหม่ ด้วยยุคไฮบริดที่โดดเด่นของเมอร์เซเดส แฮมิลตันเริ่มต้นขึ้นสู่อำนาจสูงสุด คว้าแชมป์ครั้งแล้วครั้งเล่า

นอกเหนือจากความสามารถในสนามแข่งแล้ว ผลกระทบของแฮมิลตันยังขยายไปไกลกว่าขอบเขตของมอเตอร์สปอร์ต ผู้สนับสนุนที่หลงใหลในความหลากหลาย ความเท่าเทียม และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เขาใช้แพลตฟอร์มของเขาเพื่อสร้างความตระหนักรู้และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก จากการต่อต้านความอยุติธรรมทางเชื้อชาติไปจนถึงการส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมการแข่งรถ แฮมิลตันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ระดับโลกทั้งในและนอกสนาม

การแสวงหาความเป็นเลิศอย่างไม่หยุดยั้งของเขาและความมุ่งมั่นในการก้าวข้ามขอบเขตได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักแข่งรุ่นใหม่ ทำลายอุปสรรคและเปลี่ยนโฉมหน้าของ Formula One ความสำเร็จของแฮมิลตันได้ทำลายความคิดแบบเดิมๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพรสวรรค์และความมุ่งมั่นสามารถอยู่เหนือเชื้อชาติ ภูมิหลัง และสถานการณ์ได้

ในฐานะนักแข่งรถชาวอังกฤษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟอร์มูลาวัน มรดกของลูอิส แฮมิลตันนั้นถูกยึดไว้อย่างแน่นหนา แชมป์โลก 7 สมัย ตำแหน่งโพลโพซิชันกว่า 100 ครั้ง และชัยชนะในการแข่งขัน 103 รายการทำให้เขากลายเป็นนักแข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่สถิติของเขาเท่านั้นที่กำหนดตัวเขา แต่ยังรวมถึงผลกระทบที่เขามีต่อกีฬาและสังคมโดยรวมด้วย

การเดินทางของ Lewis Hamilton เป็นข้อพิสูจน์ถึงพลังแห่งความฝัน ความยืดหยุ่น และการปฏิเสธที่จะยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ ในขณะที่เขายังคงผลักดันขอบเขตของสิ่งที่เป็นไปได้ เขายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักแข่งที่ต้องการทั่วโลก เตือนเราว่าด้วยความทุ่มเท ความกล้าหาญ และความเชื่อมั่นในตนเองที่แน่วแน่ ทุกสิ่งก็สามารถบรรลุได้ ลูอิส แฮมิลตัน ตำนานนักแข่งรถผู้ทำลายอุปสรรค จะเป็นสถานที่พิเศษในหัวใจของผู้ที่ชื่นชอบมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลกตลอดไป

อัพเดทสนามแข่งรถ MotoGP 19 สนามทั่วโลก แต่ละที่มีจุดเด่นอย่างไรบ้าง

รายการแข่ง MotoGP สุดยอดรายการแข่งรถมอเตอร์ไซค์ทางเรียบต้องใช้สนามแข่งถึง 19 สนามเพื่อชิงชัยกันในแต่ละฤดูกาลเลยทีเดียว มาดูกันว่าแต่ละสนามนั้นอยู่ที่ไหนบ้างและมีจุดเด่นที่น่าสนใจอย่างไร

สนามที่ 1 : Losail International Circuit ประเทศกาตาร์ (QATAR GP)  

สนามแห่งนี้มีลักษณะของภูมิประเทศเป็นทะเลทราย จึงมีสภาพภูมิอากาศที่ร้อนจัด มีระยะทาง 5.4 กิโลเมตร จำนวนทางโค้ง 16 โค้ง จึงต้องจัดการแข่งขันในเวลากลางคืน หรือแบบ Night Race  

Highlight : โค้งที่ 10 ซึ่งเป็นโค้งหักศอกถึงเกือบ 90 องศา และโค้งที่ 16 ที่เป็นโค้งสุดท้ายก่อนที่นักแข่งจะสามารถบิดเร่งความเร็วสำหรับทางตรงก่อนเข้าเส้นชัย

สนามที่ 2 : Termas de Rio Hondo Circuit ประเทศอาร์เจนตินา (ARGENTINA GP)

สนาม Termas de Rio Hondo Circuit มีระยะทาง 4.8 กิโลเมตร และมีโค้ง 14 โค้ง

Highlight : จุดเด่นของสนามจะอยู่ในโค้งที่ 3 โค้งยูเทิร์นซึ่งมีความลาดเล็กน้อย ถือเป็นจุดท้าทายและอันตราย หากนักแข่งพลาดก็มีโอกาสหลุดโค้งได้เสมอ

สนามที่ 3 : Circuit of the Americas ประเทศสหรัฐอเมริกา (AMERICAS GP)

สนามที่ 3 นี้ มีระยะทาง 4.8 กิโลเมตร โค้งทั้งหมด 20 โค้ง ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้แข่งรถ Formula 1 ทำให้มีโค้งหลายรูปแบบและมีความโหดมากทีเดียว

Highlight : อยู่ที่โค้งที่ 11 ซึ่งเป็นโค้งก่อนทางตรง นักแข่งจะเร่งความเร็วสุงสุดเพื่อแซงนักแข่งคนอื่น ๆ หรือพลิกเกมได้จากโค้งที่ 11 นี้

สนามที่ 4 : Circuit de Jerez ประเทศสเปน (SPANISH GP)

เป็นสนามที่มีระยะทาง 4.4 กิโลเมตร โค้ง 13 โค้ง

Highlight : โค้งที่ 6 โค้งยูเทิร์นนี้ รอปราบเซียนนักแข่งที่หากบิดกันเพลินจากช่วงทางตรงก็อาจจะพลาดท่าได้เหมือนกัน

สนามที่ 5 : Le Mans ประเทศฝรั่งเศส (FRENCH GP)

มีระยะทาง 4.2 กิโลเมตร โค้ง 14 โค้ง สนามนี้ถูกใช้เป็นสนามแข่งขัน “The 24 Hours of Le Mans” หรือการแข่งขันรถที่ใช้ความเร็วสูงต่อเนื่องถึง 24 ชั่วโมง

Highlight : ตัวสนามมีโค้งที่สุดแสนจะโหด โดยเฉพาะโค้งที่ 13 และ 14 ที่เป็นโค้งแคบต่อเนื่องกัน ถือเป็นจุดที่นักแข่งสามารถพลิกโอกาสในการขึ้นนำนักแข่งคนอื่น ๆ ได้เลย

สนามที่ 6 : Autodromo di Mugello ประเทศอิตาลี (ITALIAN GP)

มีระยะทาง 5.2 กิโลเมตร มี 15 โค้ง ตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือเมืองฟลอเรนซ์ ถูกขนานนามว่าเป็นสนามแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ทางเรียบที่สวยงามที่สุด

Hilight : โค้งที่ 6 และ 7 เป็นจุดที่ผู้นำมักถูกแซง เนื่องจากลักษณะโค้งถัดไปถูกวางไว้ให้นักบิดต้องชะลอความเร็วเพื่อเตรียมตัวเข้าโค้งต่อไป

สนามที่ 7 : Circuit de BarcelonaCatalunya ประเทศสเปน (CATALAN GP)

มีระยะทาง 4.7 กิโลเมตร มี 13 โค้งถือเป็นสนามที่ทันสมัยที่สุด มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิเช่น ร้านอาหาร ศูนย์สื่อสารต่าง ๆ รวมถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์

Highlight : โค้งที่ 3 ต่อเนื่องยาวไปโค้งที่ 4 เป็นโค้งยาวสามารถไต่ความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง ถ้านักแข่งสามารถบิดเข้าโค้งไฮสปีดนี้ได้ ก็จะได้เปรียบนักแข่งคนอื่นทันที         

สนามที่ 8 : TT Circuit Assen ประเทศสเปน (DUTCH GP)

มีระยะทาง 4.5 กิโลเมตร โค้ง 18 โค้ง ถูกขนานนามว่าเป็น “The Cathedral” ความยากและท้าทายของสนามแห่งนี้ คือสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างมาก ทั้งฝนตกและมรสุม

Highlight : โค้งที่ 16 17 18 เป็นโค้งตัว S ก่อนเข้าทางตรง Grandstand นักแข่งต้องมีทักษะการเบรกและพลิกตัวอย่างรวดเร็วเพื่อบิดเร่งทำความเร็วอีกครั้ง

สนามที่ 9 : Sachsenring ประเทศเยอรมนี (GERMAN GP)

มีระยะทางถือว่าสั้นที่สุดเพียง 3.7 กิโลเมตร และมีโค้ง 13 โค้ง

Highlight: ระหว่างโค้ง 12 และ 13 เป็นทางตรงเชื่อมระหว่าง 2 โค้ง ตัวโค้งมีความลาดเอียง ทำให้ความเร็วจากการเร่งจะเพิ่มขึ้น และโค้งที่ 13 นี้เองก็จะทำให้นักแข่งบางคนไถลหลุดโค้งได้

สนามที่ 10 : Automotodrom Brno ประเทศสาธารณรัฐเช็ก (CZECH GP)

สนามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีระยะทาง 5.4 กิโลเมตร ทั้งหมด 14 โค้ง ด้วยสถานที่ที่เป็นแอ่งกระทะทำให้พื้นผิวสนามมีลูกเล่นไล่ระดับไปกับภูมิประเทศแบบเนิน

Highlight : โค้งที่ 10 เป็นรูปแบบของโค้งไฮสปีดที่นักแข่งจะลดความเร็วจากทางตรงเพื่อมาวัดใจกันในโค้งนี้

สนามที่ 11 : Red Bull Ring Spielberg ประเทศออสเตรีย (AUSTRIA GP)

มีระยะทาง 4.3 กิโลเมตร โค้ง 10 โค้ง ทางตรงของสนามนั้นมีความลาดชัน และมีระดับสูง-ต่ำสลับกันไปมา

Highlight : รูปแบบของสนามที่มีความสูงต่ำสลับกันไปมาในทางตรงยาว ทำให้นักแข่งต้องระวังในการเปิดคันเร่งและเบรกให้ดี

สนามที่ 12 : Silverstone Circuit ประเทศอังกฤษ (GREAT BRITAIN GP)

มีระยะทางของสนามยาวที่สุดคือ 5.9 กิโลเมตร จำนวน 18 โค้ง จึงทำให้มีจำนวนรอบการแข่งน้อยกว่าสนามอื่นซึ่งมีเพียง 20 รอบ

Highlight : โค้งที่ 14 มี ทางตัด 90 องศา ก่อนเข้าโค้งนี้มีเส้นทางตรงระยะสั้นหลังจากโค้ง 12 และ 13 บังคับให้นักแข่งเปิดคันเร่งเพื่อขึ้นเนินในโค้งที่ 14 หากนักแข่งไม่ระวังตัวจากองศาของตัวโค้งนี้ก็อาจจะพลาดท่าได้ง่าย

สนามที่ 13 : Marino World Circuit Marco Simoncelli ประเทศอิตาลี (SAN MARINO GP)

สนามนี้มีระยะทาง 4.2 กิโลเมตร 16 โค้ง มีศักยภาพที่สามารถรองรับการแข่งขันทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เป็นสนามที่มีพลังงานสะอาดและระบบที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยไม่มีการปล่อยมลพิษ

Highlight : สำหรับเหล่านักแข่ง คือทางตรงยาวในหลายจุดที่สามารถใช้ความเร็วได้เต็มที่ แต่ก็มีจุดที่นักแข่งต้องระวัง คือสภาพอากาศที่มีความชื้นสูงโอกาสที่ฝนจะตกบ่อยจนกลายเป็นการแข่งแบบ Wet Race และจุดโค้งที่ 14 ซึ่งเป็นโค้งตัว U หากนักแข่งไม่ระวังอาจจะพลาดไถลออกโค้งได้

สนามที่ 14 : Motorland Aragon ประเทศสเปน (ARAGON GP)

 มีระยะทาง 5.1 กิโลเมตร มี 17 โค้ง เป็นสนามที่มีความครบครัน ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย โรงแรม แหล่งช้อปปิ้ง และศูนย์วิจัยการกีฬา

Highlight : ในโค้งที่ 16 โค้งตัดสินชะตาของนักแข่ง ก่อนที่จะบิดคันเร่งเต็มกำลังในทางตรงที่ยาว 968 เมตร

สนามที่ 15 : Chang International Circuit ประเทศไทย (Thai GP)

มีระยะทาง 4.5 กิโลเมตร โค้ง 12 โค้ง ได้รับการออกแบบจาก คุณ Hermann Tilke ชาวเยอรมัน อดีตนักแข่งและสถาปนิกที่ผ่านการออกแบบสนามแข่งระดับโลกหลาย ๆ แห่งมาแล้ว

Highlight : สามารถรองรับการแข่งขัน Formula 1 ได้ เพราะเป็นสนามที่สามารถทำความเร็วได้กว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมถึงความเร็วในโค้งร่วม 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง นอกจากนี้ในโค้งสุดท้ายโค้งที่ 12 เป็นโค้งวัดชะตาก่อนเข้าทางยาวนำสู่เส้นชัย เป็นโค้งที่ออกแบบมาเพื่อที่ให้ผู้ตามสามารถกลายเป็นผู้นำด้วยจังหวะเพียงพริบตา

สนามที่ 16 : Twin Ring Motegi ประเทศญี่ปุ่น (JAPANESE GP)

มีระยะทาง 4.8 กิโลเมตร โค้ง 14 โค้ง สนามนี้มี Honda Collection Hall พิพิธภัณฑ์ที่เก็บประวัติศาสตร์ทุกเรื่องของฮอนด้า รวมถึงต้นแบบหุ่นยนต์อาซิโมก่อนจะเป็นหุ่นยนต์ขวัญใจคนทั่วโลก

Highlight: สนามนี้มีโค้งตัว U อยู่หลายจุด เบรกจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุด หากผิดพลาดในช่วงท้ายอาจพลาดเสียอันดับให้นักบิดคนอื่นได้

สนามที่ 17 : Phillip Island ประเทศออสเตรเลีย (AUSTRALIAN GP)

สนามใกล้ชายทะเล ที่มีวิวทิวทัศน์การแข่งขันผสานกับวิวทะเลที่ยาวสุดลูกหูลูกตา ระยะทางทั้งหมด 4.4 กิโลเมตร มี 12 โค้ง

Highlight : โค้ง 10 เป็นทางโค้งแคบแบบปิดมุมคล้ายตัว V และยากต่อการมองเห็น และต้องใช้ความเร็วสูงเพื่อจะรักษาพ้นโค้งให้ได้ ซึ่งนักแข่งต้องใช้ทักษะค่อนข้างสูง

สนามที่ 18 : Sepang International Circuit ประเทศมาเลเซีย (MALAYSIAN GP)

มีระยะทาง 5.5 กิโลเมตร โค้ง 15 โค้ง ขึ้นชื่อว่าเป็นสนามแห่งความเร่าร้อน เพราะคลื่นความร้อนจากภูมิประเทศแผ่สู้กับฟอร์มความร้อนแรงของนักแข่ง สนามแห่งนี้ต้องใช้ทักษะในการขับขี่ที่ค่อนข้างสูง

Highlight : โค้งที่ 15 เนื่องจากมีทางตรงก่อนเข้าและหลังออกจากโค้ง นักแข่งจึงใช้ความเร็วอย่างเต็มกำลังในทางตรงก่อนเข้าโค้งและควบคุมรถให้ดีหลังจากออกจากโค้งที่ 15 นี้

สนามที่ 19 : Circuit Ricardo Tormo ประเทศสเปน (VALENCIA GP)

มีระยะทาง 4.0 กิโลเมตร 14 โค้ง จุดเด่นคือเป็นสนามปิดท้ายฤดูกาล หรือที่รู้จักกันในชื่อ Circuit de Valencia  สนามมีความแคบของแทร็กเป็นอาวุธ ทำให้แซงกันได้ยากพอสมควร

Highlight : สนามแห่งนี้เป็นไฮไลท์ตบท้ายรายการนี้ ด้วยความแคบของสนามแข่งขันที่กว้างเพียง 12 เมตรทำให้เกิดความยากในการแซงของนักแข่ง ตัวนักแข่งต้องใช้ความสามารถในการควบคุมรถและไหวพริบในการโค้งค่อนข้างมาก

ทั้งหมด 19 สนามของรายการ MotoGP แต่ละสนามนับว่ามีความท้าทายที่แตกต่างกันไป ทำให้รู้ว่านักแข่งกว่าจะได้แชมป์มานั้นต้องมีทั้งทักษะและความสามารถในการขับขี่รถในสนามแข่งมากเลยทีเดียว

10 ทีมแข่งรถ Formula 1 ผู้ยืนหยัดในฤดูกาล 2020

การแข่งขันรถ Formula 1 เป็นรายการแข่งขันรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และยังมีแฟน ๆ Fun88 ที่คอยติดตามชมการแข่งขัน รวมทั้งลงเดิมพันกีฬานี้อย่างเหนียวแน่นในทุกฤดูกาล ซึ่งการแข่งรถ F1 จะมีทั้งหมด 10 ทีม มาดูกันดีกว่าว่ามีทีมไหนบ้างที่ได้เข้าแข่งขันของฤดูกาล 2020 เพื่อเป็นทางเลือกให้นักพนันความเร็วเช่นคุณ

1.MercedesAMG Petronas F1 Team

เริ่มที่ทีมแรกซึ่งเป็นทีมแชมป์โลกทีมล่าสุด Mercedes-AMG Petronas F1 เริ่มการแข่งครั้งแรกในปี 1954 และเลิกไป จนกลับมาอีกครั้งภายใต้ชื่อ Mercedes GP ในปี 2010 จนในที่สุดมาแรงแซงโค้งสามารถคว้าแชมป์โลกภายใต้ทีมผู้ผลิตไปถึง 6 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี 2014-2019 และนักแข่งคว้าแชมป์ได้ถึง 8 ครั้ง ภายใต้นักแข่งคนเดียวกันคือ Lewis Hamilton

2.Scuderia Ferrari

ทีมเก่าแก่ของวงการ F1 ร่วมแข่งขันตั้งแต่ปี 1950 ถือเป็นทีมที่เคยคว้าแชมป์โลกได้มากที่สุดทั้งในส่วนของผู้สร้าง 16 ครั้งและนักขับ 15 ครั้ง โดยในฤดูกาล 2019 จบการแข่งขันเป็นอันดับที่ 2

3.Aston Martin Red Bull Racing

ทีม Aston Martin Red Bull Racing เข้าแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 2005 ด้วยการซื้อทีมต่อจาก Ford Motor Company มีชื่อทีมว่า Jaguar Racing ทางทีมมีนักแข่งตัวฉกาจอย่าง “Mad Max” หรือ Max Verstappen ทำให้ทีมเป็นที่น่าจับตามองอีกครั้ง แม้จะได้อันดับที่ 3 ของฤดูกาล 2019

4.McLaren F1 Team

ชื่อของค่ายรถยนต์ดังของประเทศอังกฤษ McLaren เริ่มต้นเข้าวงการ F1 ตั้งแต่ปี 1966 โดย Bruce McLaren ผลงานของทีม McLaren เคยได้รับแชมป์ในนามของทีมผู้สร้างรวม 8 ครั้ง และผลงานแชมป์ในนามนักขับ 12 สมัย

5. Renault F1 Team

ทีม Renault ได้เข้าร่วมการแข่งขัน F1 ในปี 1977 ส่วนปี 2002 ได้ซื้อทีมต่อมาจาก Benetton Formula Limited จนกระทั่งทีมสามารถคว้าแชมป์แรกได้โดยนักแข่งที่ชื่อ Fernando Alonso ในรายการ 2003 Hungarian Grand Prix

6. Scuderia Toro Rosso

ทีมน้องร่วมสายเลือดเดียวกับทีมพี่อย่าง Red Bull Racing ก่อตั้งทีมตั้งแต่ปี 2006 โดยเจ้าของ Red Bull (Dietrich Mateschitz) ต้องการให้ทีมน้องเป็นเหมือนทีมฝึกหัดเยาวชน เพื่อเตรียมพร้อมสู่ทีมใหญ่อย่าง Red Bull Racing

7. BWT Racing Point Formula One Team

ทีม BWT Racing Point เป็นทีมที่รับช่วงต่อมาจาก Force India และล่าสุดผู้บริหารของทีมได้เข้าซื้อหุ้น Aston Martin 20% และเตรียมจะเปลี่ยนชื่อทีมไปเป็น Aston Martin ในฤดูกาล 2021 อีกด้วย

8. Alfa Romeo Racing

เริ่มต้นเข้าแข่งขัน F1 ในปี 1950-1951โดยนักแข่งสามารถคว้าแชมป์ได้ทั้งสองปี แต่ทีมก็ต้องหยุดแข่งไปเพราะประสบกับปัญหา และกลับมาแข่งในปี 1979 อีกครั้งภายใต้ชื่อทีม Alfa Romeo 177 แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จ  จนกระทั่งฤดูกาล 2018 ที่ Alfa Romeo ได้เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับทีม Sauber ใช้ชื่อทีมว่า Alfa Romeo Sauber F1 และจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 8 จนมาเปลี่ยนชื่อเป็น Alfa Romeo Racing อย่างเป็นทางการ

9. Haas

ทีมสายเลือดอเมริกันที่เริ่มต้นมาจากการเป็นทีมแข่ง Nascar ในสหรัฐ ฯ มาก่อน ก่อนจะมาเข้าวงการรถสูตรหนึ่งในปี 2016 ความสำเร็จของทีมคือสามารถเก็บแต้มขึ้นไปได้ถึงอันดับ 6 ในสนามแรกของรายการ Austrarian Grand Prix

10. ROKiT Williams Racing

อดีตเคยเป็นทีมที่กวาดแชมป์นับไม่ถ้วน เริ่มต้นก่อตั้งทีมในปี 1977 จากนั้นทั้งในฐานะทีมและนักขับต่างก็พากันเก็บแต้มจนได้เป็นแชมป์โลกภายในเวลาไม่กี่ปี ผลงานของทีมในฤดูกาลล่าสุดสามารถเก็บแต้มมาได้เพียงแต้มเดียวจากการแข่งขันรวมทั้งหมด 21 สนาม

ได้รู้จักทีมที่เข้าแข่งขัน Formula 1 ฤดูกาล 2020 ทั้งหมด 10 ทีมแล้วซึ่งเราเรียงตามลำดับของทีมจากผลงานในฤดูกาลที่แล้วคือปี 2019 ต่อไปมาลุ้นว่าทีมโปรดของคุณจะสามารถทำอันดับได้ดีขึ้นในฤดูกาลใหม่หรือไม่

CRF 450 Rally เอนดูโร่ตัวแกร่งของฮอนด้า ผงาดใน Dakar 2020

ฮอนด้าเข้าร่วมในการแข่งขันแรลลี่ดาก้าร์ครั้งแรกในปี 1981 และคว้าแชมป์สี่สมัยซ้อนในปี 86 – 89 ในครั้งนั้นฮอนด้าครองบัลลังค์ความยิ่งใหญ่ และสร้างฐานะให้เหล่านักพันสายความเร็วด้วยรถ Honda Africa twin แต่หลังจากนั้นทีมฮอนด้าถอนตัวไปหลายปี ปล่อยให้ KTM ครองบัลลังก์แชมป์ได้ถึง 18 สมัยในรอบ 31 จนในปี 2013 ฮอนด้ากลับมาอีกครั้งภายใต้ชื่อทีม “มอนสเตอร์ เอนเนอร์จี้ ฮอนด้า” ด้วยรถ Honda CRF 450 Rally และสามารถทำผลงานได้ไม่เลว สามารถคว้ารองแชมป์ได้ในปี 2015 และ 2018 จนในปี 2020 ฮอนด้ากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์ครั้งแรกหลังจากปล่อยให้แฟน ๆ รอคอยมาถึง 31 ปี

7839 กิโลเมตร ท่ามกลางทะเลทรายหฤโหด

ดาก้าร์ 2020 เปลี่ยนจากสนามแข่งที่อเมริกาใต้มาประลองความมันกันที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย เส้นทางผ่าทะเลทรายเวิ้งว้างและร้อนระอุ และอุปสรรคสุดโหด ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าแรลลี่ดาก้าร์โหดแค่ไหน เกือบทุกครั้งจะต้องมีนักแข่งที่แข่งไม่จบ ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อในสเตจที่ 7 เปาโล กอนคาลเวส นักบิดชาวโปรตุเกสวัย 40 ปีจากทีมฮีโร่ ทีมแข่งสัญชาติอินเดีย ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเสียชีวิต ทำให้การแข่งขันในสเตจที่ 8 ถูกยกเลิกไปต้องมาแข่งกันต่อใน 4 สเตจสุดท้าย

ริกกี้ บราเบ็ค นักแข่งชาวอเมริกัน จากทีมฮอนด้าสามารถเอาชนะการแข่งได้ ด้วยรถ Honda CRF 450 Rally ด้วยเวลา 40 ชั่วโมง 2.36 นาที  ซึ่งในครั้งนี้เพื่อนร่วมทีมฮอนด้าอีกสองคน โฮเซ่ อินาซิโอ้ คอร์เนโฮ่ จบอันดับ 4 และ โจอัน บาร์เรต้า จบอันดับ 7 ทำให้ทีมฮอนด้ามีนักแข่งจบใน 10 อันดับแรกถึง 3 คน นับเป็นการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากถูกค่อนขอดมาหลายปีว่าสายการผลิตรถโรงงานจากฮอนด้าตกต่ำลง และอาจจะไม่มีวันผลิตรถที่เหนือเจ้าอื่นได้อีกแล้ว ซึ่งฮอนด้าก็ใช้เวลาพัฒนาอยู่เกือบสามสิบปีกว่าจะตัดสันใจ เข็นเจ้ารถ CRF 450 ออกมาและปล่อยลงมาวาดลวดลายในแรลลี่ดาก้าร์อีกครั้ง จนคว้าแชมป์ไปได้ในที่สุด

ทำเนียบผู้ชนะในครั้งนี้ ริกกี้ บราเบ็ค นักบิดชาวสหรัฐอเมริกา สังกัด มอนสเตอร์ เอนเนอร์จี้ ฮอนด้า ทีม ทำเวลา 40 ชั่วโมง 2.36 นาที ปาโบล ควินตานิลลา นักบิดชาวชิลี สังกัด ฮัสควาน่า แฟ็คตอรี่ เรซซิ่ง ทีม ทำเวลาห่างผู้ชนะ 16.26 นาที โทบี้ ไพรซ์ นักบิดจากออสเตรเลีย สังกัด เคทีเอ็ม แฟ็คตอรี่ เรซซิ่ง ทีม ทำเวลาห่างผู้ชนะ 24.06 นาที

จะครองความยิ่งใหญ่ไปอีกหลายปี                

แม้การแข่งจะพึ่งพาประสบการณ์และความอึดของนักแข่ง แต่สำหรับแรลลี่ดาการ์ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสมรรถนะของรถเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และฮอนด้าเองก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่ารถจากโรงงานของฮอนด้าตัวใหม่อย่าง CRF 450 ก็สามารถกลบเสียงวิจารณ์มาตั้งแต่ออกใหม่ ๆ ว่าจะสู้คู่แข่งอย่าง KTM BMW หรือแม้กระทั้งเพื่อนร่วมชาติอย่าง YAMAHA ได้หรือไม่ 7839 กิโลเมตร 12 สเตจใน 3 วัน เป็นคำตอบได้อย่างดี

การจัดลำดับออกตัวเวลาแข่งรถเค้าดูจากอะไร มาสนามช้าเหรอ?

เวลาดูแข่งรถใครที่รู้สึกไม่ยุติธรรมทุกครั้ง เวลาคนที่เราเชียร์ไปอยู่ข้างหลัง รถตั้งเยอะจะแซงไปหมดได้ยังไง ส่วนคันหน้าก็พอปล่อยปุ๊บก็พุ่งไปปุ๊บไม่มีใครขวาง อย่างนี้คันหลังสุดก็เหนื่อยสิ แล้วจะทำยังไง หรือควรโทรไปปลุกพี่เค้าให้มาสนามเร็ว ๆ หน่อยจะได้ออกตัวหน้า ๆ จะมานอนตื่นสายตอนชิงแชมป์แบบนี้ไม่ได้นะ ใครที่รู้สึกแบบนี้ก็ขอบอกไว้เลยว่า เรื่องนี้มีที่มาที่ไป ทุกอย่างมีความยุติธรรม มาดูกฎระเบียบเรื่องนี้กัน

รูปแบบการจัดลำดับการออกตัว

การจัดลำดับการออกตัวหรือที่เรียกว่า Pole position นั่นแตกต่างกันไปตามรูปแบบการแข่งขันแต่ละรายการ อย่างรายการฟอร์มูล่า วัน แต่ละสนามทุกทีมจะได้รับโอกาสลองสนามให้คุ้นชินในวันศุกร์ เรียกว่า Friday practice จากนั้นวันเสาร์ ทุกทีมจะได้รับโอกาสได้ใส่เดี่ยว ซึ่งหมายถึงให้วิ่งในสนามตั้งแต่จุดสตาร์ทถึงเส้นชัยและเก็บเวลาที่ทำได้ไว้เทียบกับทีมอื่น ๆ เรียกว่า Qualify ใครที่ทำเวลาดีที่สุดจะได้อยู่หน้าสุดใน Sunday racing คนทำเวลาได้รองลงมาก็อยู่ลำดับถัดไป ใครช้าก็รั้งท้าย ตื่นก่อนตื่นหลังไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้

ที่ว่ามาคือการแข่งรถที่อยู่ประเภทเดียวกันสมรรถนะไม่ต่างกัน แต่บางครั้งในการแข่งสนามเดียวกันก็จะมีรถที่ต่างสมรรถนะกัน และรางวัลไม่แยกรุ่น รถที่สมรรถนะด้อยกว่าจะได้ไปอยู่ข้างหน้า เรียกว่า Handy cap หรือต่อให้น้องนั่นแหล่ะ แต่ถ้าสมรรถนะต่างกันและแยกประเภทรางวัลรถที่แรงกว่าจะได้สตาร์ทก่อน หรือบางรายการรถที่ทำเวลาสนามก่อนได้ดีกว่า มีคะแนนสะสมดีกว่า ก็จะได้อยู่หน้าไปเลยไม่ต้อง Qualify หรือบางรายการเช่น WTCC เวิลด์ทัวริ่งคาร์แชมเปี้ยนชิพ รถที่ชนะสนามก่อนจะได้ไปอยู่หลัง แถมเพิ่มน้ำหนักให้อีก งงป่ะล่ะ

แต่อย่างไรก็ตาม จะอยู่หน้าอยู่หลังก็ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่กำหนดชัยชนะ บางครั้งอยู่หน้ากดคันเร่งนำก่อนเป็นกิโลแต่อยู่ ๆ ยางแตกกว่าจะลากตัวเองเข้าพิทได้ก็ตกไปอยู่ท้ายซะแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องให้เห็นเป็นประจำ หรืออยู่หลังสุด บ๊วยสุด แต่วันนี้ผีเข้ากดซ้ายแซงขวาผ่ามาทุกรอบ ก็ขึ้นที่หนึ่งได้เช่นกัน เพราะการแข่งรถจะชนะได้ไม่ใช่แค่ขับเก่งอย่างเดียว รถ ทีมงานช่าง การวางแผน ก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญทั้งหมด คนขับเก่งแต่รถไปไม่ไหวก็แพ้ รถดีแต่คนขับไม่พร้อมก็ลงข้างทาง รถดีคนขับดีแต่วางแผนเข้าพิทไม่ดีก็เหนื่อย หรือรถดี คนขับดี วางแผนมาอย่างเยี่ยมยอดแต่เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ ชนกันหรืออะไรก็ตามมันมีผลต่อชัยชนะทั้งนั้น แบบนี้หากคุณเป็นผู้ชมที่ชอบการวางเดิมพันด้วย ยิ่งต้องศึกษาดูฟอร์มทุกทีม ไม่เลือกเฉพาะตัวท็อปหรือผู้ชนะก่อนหน้านี้เท่านั้น

พร้อมที่สุดดีที่สุด ที่เหลือก็คือวาสนา                

แต่ที่พูดมาถ้าบอกว่าเตรียมพร้อมแค่ไหนถ้าซวยก็ไม่ชนะ งั้นไปทำบุญเอาแล้วกันไม่ต้องเตรียม มันก็ไม่ใช่อีก ทางที่ดีที่สุดคือพร้อมทุกด้านกำจัดปัจจัยที่จะพ่ายแพ้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ บางทีการเลือกหลวงพ่อที่จะไปบนก็เป็นหนึ่งในเช็คลิสต์ที่ต้องทำ

FORMULA E ความเร้าใจในสไตล์รักษ์โลก

การแข่งขันฟอร์มูล่า อี ถูกจัดขึ้นอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2014 โดยสหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ (FIA) เป็นสหพันธ์เดียวกับที่ดูแลการแข่งฟอร์มูล่า 1 โดยส่วนใหญ่จะจัดขึ้นในรูปแบบสตรีทเซอร์กิต หรือการแข่งบนถนนในเมือง เพราะมีเสียงรบกวนน้อยและไม่ก่อมลพิษ เพราะเครื่องยนต์ของฟอร์มูล่า อี ไม่มีการสันดาปให้เกิดไอเสีย มันขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งในปัจจุบันบริษัทรถยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ เล็งเห็นความสำคัญที่จะพัฒนาเทคโนโลยีรถ EV เพื่อเป้าหมายการถ่ายทอดเทคโนโลยีลงมาสู่รถ EV ที่นำออกมาขายในตลาดรถทั่วไปในอนาคต

ประสิทธิภาพเทียบเท่า F1

หัวใจของรถพลังงานไฟฟ้า คือ ไม่ต้องเติมน้ำมัน ซึ่งความสำคัญของเครื่องยนต์ฟอร์มูล่า อี ก็คือแบตเตอร์รี่ ซึ่งแบตเตอร์รี่รุ่นล่าสุดมีขนาด 54 kWh ให้พลังงาน 54 กิโลวัตในหนึ่งชั่วโมง ซึ่งจะให้พลังงานไปปั่นมอเตอร์ไฟฟ้าส่งพลังไปสู่ล้อได้ถึง 250 กิโลวัตต์ เทียบเท่ากับรถ 270 แรงม้าเลยทีเดียว จึงไม่ต้องห่วงว่าเวลาดูการแข่งฟอร์มูล่า อี จะได้อรรถรส เหมือนดูรถแข่งประเภทใช้น้ำมันหรือไม่ เพราะความเร็วก็ไม่ต่างกัน

บริษัทต่าง ๆ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากการวิเคราะห์ของ Bloomberg ประเมินว่า ในปี 2040 ยอดขายรถ EV จะแซงหน้ารถเครื่องยนต์สันดาปเป็นครั้งแรก นั่นหมายความว่า 20 ปีต่อจากนี้จะมีการพัฒนาประสิทธิภาพเครื่องยนต์ EV ไปอย่างต่อเนื่อง และทุกประเทศก็เริ่มที่จะสนับสนุนรถ EV ให้มาแทนรถที่ใช้น้ำมันมากขึ้นเรื่อย ๆ และสนามการแข่งขัน ฟอร์มูล่า อี นี่แหล่ะที่จะเป็นแหล่งทดสอบความก้าวหน้าของเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งต่อไปยังรถ EV ที่ผลิตขาย ในอนาคตเครื่องยนต์ EV จะแรงขึ้น วิ่งได้นานขึ้น ใช้เวลาในการชาร์ตไฟน้อยลง แบตเตอร์รี่มีอายุการใช้งานที่นานขึ้นและราคาถูกลง ดูเหมือนว่าจะมีอนาคตที่สดใสรออยู่สำหรับรถ EV และรถเครื่องยนต์สันดาปจะถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ จนมีการกลัวกันว่า ต่อไปการแข่งรถฟอร์มูล่า 1 จะยังมีที่ทางของตัวเองอยู่หรือไม่

หากลองไล่ดูบรรดาค่ายรถที่ส่งรถลงแข่งขัน ฟอร์มูล่า อี จะเห็นว่ามีค่ายรถหลักของโลกแทบทั้งสิ้น เช่น ออดี้ อดีตเจ้ามอเตอร์สปอร์ตสายเอ็นดูรานซ์ ที่ประกาศยกเลิกพัฒนารถในการแข่ง เอนดูรานชิงแชมป์โลกลงมาพัฒนารถแข่งฟอร์มูล่า อี อย่างเต็มตัว และยังมีรถยี่ห้อดังอีกมากมาย ทั้งเมอร์เซเดส บีเอ็มดับเบิ้ลยู นิสสัน พอร์เชอ รวมถึงจากัวส์ ซึ่งทุกค่ายมีรถ EV ของตัวเอง และยังมีแนวโน้มว่ารถยนต์เจ้าอื่น ๆ จะทยอยลงมาสู้ศึกในรายการนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

ไม่ใช่แค่ฟอร์มูล่า โมโต จีพี ก็มา

ไม่ใช่แค่รถ 4 ล้อที่ขยับเรื่องเครื่องยนต์ EV รถสองล้ออย่างโมโตจีพี ก็เริ่มขยับตัวไปบ้างแล้ว โดยดอร์น่า สปอร์ต ผู้ถือลิขสิทธิ์ โมโตจีพี ได้เปิดตัวการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าชิงแชมป์โลกภายใต้ชื่อ ไอเอฟเอ็ม โมโต อี เวิลด์คัพ โดยจะถูกบรรจุอยู่ในการแข่งโมโตจีพีบางสนาม เราจะได้เห็นเทคโนโลยีมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าลงมาอวดความแรงกันแน่นอน มันอาจถึงเวลาแล้วที่อนาคตกำลังจะเปลี่ยนทุกอย่างไปสู่ยุค EV ในอีกไม่นาน

สวมเรสซิ่งสูทขับบิ๊กไบค์บนถนน มีเหตุผลอะไรนอกจากความเท่

เวลาขับรถบนถนนแล้วเห็นว่าบางคนที่ขับบิ๊กไบค์ผ่านไปมา แล้วใส่เรสซิ่งสูทเต็มยศ คุณผู้ชายอย่างเรา ๆ บางคนคงรู้สึกหมั่นไส้ปนอิจฉากันบ้าง ว่ามันเว่อไปป่าวนี่ถนนหลวงไม่ได้เป็นสนามแข่ง บนถนนจะใส่ทำไม อันนี้ก็คงต้องตอบว่าอย่าไปอิจฉาเขาเลย เขาไม่ได้เว่อหรอก แค่รักความแรงและกลัวตาย

ความแรงที่ยากจะต้านทาง

รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์บนถนนที่เราเห็นกัน บางคันถอดแบบมาจากรถในสนามแข่งเลย ความแรงระดับพันซีซี คิดเอาแล้วกันว่าพันซีซีนี่ขนาดเครื่องระดังรถเก๋งอีโค่คาร์รุ่นใหม่ ๆ บนถนนเลยนะ แต่มันแบกน้ำหนักแค่ร้อยกว่ากิโลกรัมเท่านั้นเอง ในขณะที่รถเก๋งแบกน้ำหนักเป็นตัน ด้วยแรงเท่ากันแต่เบากว่ามาก ๆ มันจะไปได้แรงขนาดไหน บางคันทำความเร็วจากศูนย์ถึงร้อยได้ในเวลาแค่สามวิ แรงขนาดนั้นชนขึ้นมาที ไม่ต้องสืบเลยว่ารอดไหม

เมื่อมองไปที่กฎทางฟิสิกส์ว่าแอคชั่นเท่ากับรีแอคชั่น สมมุติระดับความเร็วที่สามร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วเกิดการชนอย่างจัง แรง G ที่กระทบร่างกายสามารถทำให้เนื้อเยื่อฉีกขาดกระจุยได้ในทันที ดังนั้นเราจึงเห็นว่าในสนามแข่งนักขับใส่ทั้งชุดที่ทนแรงเสียดทานระหว่างการไถลไปบนพื้นได้อย่างดี ไม่มีฉีกขาดปกป้องนักขับได้ระดับที่ปลอดภัย และในสนามยังมีระบบกันสะเทือนข้างสนามทั้งกรวดหรือหญ้าที่ผ่อนแรง หรือเบาะที่อยู่ตามทางโค้งที่นุ่มพอจะทำให้นักขับปลอดภัยเมื่อเกิดการกระแทก

แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังได้เห็นข่าวการบาดเจ็บและเสียชีวิตในสนามแข่งอยู่บ่อย ๆ แล้วจะนับประสาอะไรกับนักบิดบนถนน แม้ชุดและหมวกกันน็อคราคาแพงเป็นแสน ๆ อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมากหากเกิดการชนอย่างกระชั้นในความเร็วที่สูง ๆ แต่อาจจะผ่อนหนักเป็นเบา จากตายอาจเหลือแค่พิการ และการชนที่ไม่แรงเท่าไหร่นักขับก็จะปลอดภัย เพราะการขับมอเตอร์ไซค์ ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ในพริบตา การตัดสินใจต้องถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ การป้องกันอย่างเต็มที่จึงดีกว่าการไม่ป้องกันอะไรเลย เราคงไปห้ามผู้ชื่นชอบความเร็วในการบิดมอเตอร์ไซค์ให้เลิกเอาตัวเองไปเสี่ยงไม่ได้ แต่อย่างน้อยนักขับทุกคนต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองและครอบครับ รถคันเป็นแสนเป็นล้านหากจะเพิ่มการแต่งตัวที่อาจจะดูเว่อและแพงระยับ มันก็คุ้มกับการแลกด้วยชีวิต

ชีวิตตัวเอง เลือกเอง เพื่อตัวเอง

ชุดเรสซิ่งสูทเองก็มีหลายระดับหลายราคาตามแต่ที่นักขับจะเลือกใช้ แต่เวลาเราเห็นนักขับบนถนนใส่เรสซิ่งสูทบนถนน เราอาจจะหมั่นไส้ก็จริง แต่อย่างน้อยคนคนนั้นก็เลือกที่จะดูแลตัวเองมากกว่าแคร์สายตาคนอื่น ทั้งนี้ทั้งนั้นความปลอดภัยบนถนนต่อผู้อื่นก็สำคัญ อยากเท่ก็เท่ที่ชุดเท่ที่รถ ดีกว่าไปเท่ที่การแบนโค้งแล้วกลิ้งไปชนเสาตัวขาด

“วุฒิกร อินทรภูวศักดิ์” นักแข่งไทยคนแรกที่คว้าแชมป์ GT World Challenge Asia

Blancpain GT World Challenge Asia ถือเป็นรายการแข่งขันรถซูเปอร์คาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอเชีย โดยผู้ชนะจะได้สิทธิเข้าแข่งขันในรายการ FIA GT World Cup ซึ่งทุกครั้งที่ผ่านมาจะมีนักแข่งรถชาวไทยเข้าร่วมประลองความเร็วในทุกรุ่นการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น GT3 Silver, GT3 Pro-Am, GT3 Am และ GT4 แต่ไม่เคยมีใครเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์สักครั้งเดียว จนกระทั้ง “วุฒิกร อินทรภูวศักดิ์” จากทีม Panther/AAS Motorsport คว้าแชมป์ในรุ่น GT3 Pro-Am ได้สำเร็จในปี 2019

วุฒิกร อินทรภูวศักดิ์ ถือเป็นนักแข่งรถที่มากประสบการณ์ กวาดรางวัลมาแล้วมากมายทั้งระดับประเทศและนานาชาติ โดยคลุกคลีกับวงการมอเตอร์สปอร์ตมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี จากการเป็นบุตรชายคนโตของเจ้าสัวอนุศักดิ์ อินทรภูวศักดิ์ ผู้ก่อตั้งบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด บริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่และเบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย แม้ในปัจจุบันจะดำรงตำแหน่งประธานบริหารบริษัท แต่เขาก็ยังไม่ทิ้งอาชีพนักแข่ง โดยเป็นผู้ก่อตั้งทีม ASS Motorsport และยังเป็นนักแข่งประจำทีมอีกด้วย

วุฒิกรเคยเข้าร่วมการแข่งขัน Blancpain GT World Challenge Asia ในรุ่น GT3 Pro-Am  มาแล้วเมื่อปี 2017 ในนามทีม est cola Thailand โดยขับ Porsche911 GT3 R ลงแข่งขันไปเพียง 2 สนาม ในสนามที่ 3 และ 4 ของรายการ ซึ่งจัดขึ้นที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ เก็บได้ 3 แต้ม จากการจบในอันดับที่ 9 และอันดับที่ 10 ตามลำดับ

ภายหลังก่อตั้งทีม ASS Motorsport วุฒิกรเข้าร่วมการแข่งขัน Blancpain GT World Challenge Asia อีกครั้งในปี 2019 ซึ่งได้ Alexandre Imperatori นักแข่งรถชาวสวิสมาเป็นทีมเมท โดยเลือกใช้ Porsche911 GT3 R เหมือนเดิม และตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันครบทั้ง 12 สนาม ก่อนจะซิ่งปอร์เช่คู่ใจเข้าเส้นชัยเป็นคันแรกในรุ่น GT3 Pro-Am  ถึง 5 สนาม จากสนามเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย, สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศไทย, สนามฟูจิ สปีดเวย์ ประเทศญี่ปุ่น, สนามเกาหลี อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศเกาหลีใต้ และสนามเซี่ยงไฮ้ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศจีน โดยทำคะแนนได้เป็นอันดับ 1 ในรุ่น GT3 Pro-Am คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ แถมยังทำคะแนนรวมได้ถึง 141 คะแนน รั้งอันดับ 2 Overall  ตามหลัง Roelof Bruins นักแข่งชาวดัตช์ที่เลือกใช้ Mercedes-AMG GT3 และคว้าแชมป์ GT3 Silver ไปครอง เรียกได้ว่าสร้างความฮือฮากระฉ่อนไปทั่วในเว็บ VWIN เลยทีเดียว

การคว้าแชมป์ของวุฒิกรครั้งนี้ ทำให้เขาได้รับเลือกให้เข้าแข่งขันรายการ FIA Motorsport Games GT Cup ในนามทีมชาติไทย ร่วมกับทีมชาติจากทั่วโลกอีก 21 ประเทศ ณ สนาม ACI Vallelunga Circuit ประเทศอิตาลี โดยครั้งนี้ได้ กันตธีร์ กุศิริ เป็นทีมเมท พร้อมด้วย Porsche911 GT3 R คันเดิม ทั้งคู่ช่วยกันขับปอร์เช่คู่ใจทำคะแนนในรอบจัดอันดับจนได้ลำดับการปล่อยตัวเป็นที่ 6 ในรอบ Main Race ซึ่งในการแข่งขันรอบตัดสินช่วงแรก ทีมชาติไทยสามารถเร่งเครื่องจนขึ้นไปอยู่ในอับดับ 1 แต่ด้วยสภาพอากาศที่มีฝนตกอย่างหนักและความไม่คุ้นเคยกับสนาม ทำให้พวกเขาหลุดจากแทร็กในช่วงโค้งที่ 4  จนต้องออกจากการแข่งขันไปก่อนจะเข้าเส้นชัย

ปัจจุบันประเทศไทยถือเป็นผู้นำการจัดการแข่งขันรถยนต์ของอาเซียน โดยมีการแข่งขัน Thailand Super Series ซึ่งจัดขึ้นประจำทุกปีเป็นกำลังสำคัญในการสร้างนักแข่งรถยนต์รุ่นใหม่ ความสำเร็จของวุฒิกรถือเป็นอีกก้าวสำคัญของวงการมอเตอร์สปอร์ตไทยในเวทีระดับโลก นับเป็นแรงบันดาลใจที่ดีให้แก่นักแข่งรุ่นน้องที่จะช่วยผลักดันให้พวกเขาก้าวขึ้นมาประสบความสำคัญระดับโลกในอนาคต

NASCAR วิ่งวนวนเป็นวงรี มันสนุกตรงไหนเนี่ย

ลองนึกภาพตัวเองนั่งอยู่ในรถดัดแปลงที่มีแต่ที่นั่ง เครื่องยนต์ โครงเหล็ก และแผ่นไฟเบอร์ที่ครอบตัวรถเพื่อให้ดูรูปร่างว่ามันเป็นรถ วิ่งด้วยพลังสองร้อยแรงม้า ความเร็วเฉลี่ย 300 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง วิ่งวนบนถนนเป็นวงรีพร้อมรถคู่แข่งที่แรงพอ ๆ กัน เป็นระยะทาง 500 ไมล์ พลาดสติหลุดเพียงนิดเดียวมีสิทธิ์ลอยไปฟาดผนังจนรถกระจุยกระจายได้ทุกเสี้ยววินาที ลองคิดดูแล้วกันว่าการเป็นนักแข่ง NASCAR ต้องคลั่งแค่ไหนถึงจะลงมาแข่งอะไรประเภทนี้ได้ คนดูในสนามยิ่งคลั่งมากกว่า เพราะสามารถได้เห็นไหวพริบนักแข่งที่ช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงวินาที ได้เห็นรถลายกราฟฟิกสวย ๆ มาประลองกัน ขณะเดียวกันก็มีสิทธิได้เห็นรถเหล่านั้นชนกันวินาศสันตะโร มันช่างสร้างความมันดีแท้

ความเป็นมาและกฎกติกาสุดมึน

บิล แฟรนซ์ ซีเนียร์ หรือ บิ๊กบิล ผู้ก่อตั้ง เขาและภรรยาย้ายมาเปิดอู่ซ่อมรถที่ฟลอริด้า ซึ่งสมัยนั้นมีพวกคลั่งแต่งรถมาประชันความเร็วกันทุกสัปดาห์ที่หาดเดโทน่า เขาเฝ้ามองการแข่งรถและความคลั่งไคล้ความเร็วของผู้คน เขาตั้งปณิธานไว้ว่าจะต้องจัดการแข่งรถที่ยิ่งใหญ่ขึ้นที่นี่ให้ได้ และหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขาจึงรวมกลุ่มสมาคมแข่งรถทั่วประเทศ มาจัดตั้ง National Association for Stock Car Auto Racing หรือ NASCAR และจัดการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้

ซึ่งกฎการแข่งขันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาจนปัจจุบัน คนจะดูการแข่งให้รู้เรื่องควรจะเข้าใจกฎกติกาก่อน ซึ่งการแข่งขันแต่ละสนามจะแต่งต่างกันไป เช่น เดโทน่า 500 แปลว่าสนามนี้จะแข่งกัน 500 ไมล์ ใครวิ่งครบก่อนเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งเมื่อเอาระยะทางที่ต้องวิ่งมาหารด้วยระยะรอบของสนาม ก็จะได้จำนวนรอบที่ต้องแข่ง จากนั้นจะแบ่งเป็นสามสเตจ

สเตจแรกกับสเตจที่สองวิ่ง 25 % และที่เหลือจะวิ่งในสเตจที่สาม สเตจที่ 1 และ 2 จะให้คะแนนอันดับที่ 1 – 10 และสเตจที่ 3 จะให้คะแนนอันดับที่ 1 – 40 เมื่อวิ่งจบสเตจก็จะมีธงเหลืองให้พักแต่ไม่หยุดวิ่ง ใครจะเข้าพิทก็ตามใจแต่จะเสียอันดับ อันนี้ก็แล้วแต่แผนการของแต่ละทีม เมื่อผ่านไป 26 สนาม จะตัด 16 คนที่คะแนนมากที่สุดเข้ารอบเพลย์ออฟ แต่ที่เหลือจะยังแข่งอยู่ได้เพื่อเก็บคะแนนสะสม จากนั้นทุก ๆ สามสนามจะตัดออกทีละ 4 คน จนเหลือ 4 คนสุดท้ายมาแข่งในสนามสุดท้าย สนามที่ 36 หาแชมป์คว้ารางวัล 1 ล้านดอลล่า

กีฬาอเมริกันชนคือความสุดโต่ง

สำหรับกีฬาของชาวอเมริกันบางอย่างมันก็สวนทางกับความเข้าใจของแฟนกีฬาประเทศอื่น ไม่ว่าจะอเมริกันฟุตบอล เบสบอล หรือ NASCAR บางครั้งมันก็เข้าใจยากสำหรับคนอื่น ๆ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นอเมริกันมันต้องสุดอยู่แล้วทั้งจำนวนผู้ชม สปอนเซอร์หรือความคลั่งไคล้ ถ้าอยากจะเข้าใจจริงบางทีอาจจะต้องศึกษาและค่อย ๆ ซึมซับให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เราอาจจะได้เข้าใจว่ารสชาติความมันแบบอเมริกันมันเป็นยังไง

3 บทเรียนของ BMW จากการแข่งขัน The Mexico City E-Prix

เริ่มทยอยเปิดสนามแข่งกันไปแล้วกับสังเวียนมอเตอร์สปอร์ต 2019 ที่หลายทีมก็เริ่มลงไปลองลงแข่งเพื่อทำการเทสรถค่ายของตัวเองกันมาบ้างแล้ว รวมถึง  BMW I Andretti Motosport ที่ได้ลงแข่งขันในฤดูกาลแรกของ ABB FIA Formular E Championship ซึ่งทางวิศวกรของทีม ก็ได้ออกมายอมรับและ เปิดเผยว่า ในการลงสนามแข่งครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมอีกทั้งยังทำให้ทีม BMW ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนารถแข่ง BMW iFE.18 ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้มีความพร้อมสำหรับการลงแข่งใน

นัดต่อไป วันนี้เราจึงได้นำ 3 บทเรียนที่ทีม BMW I Andretti Motosport ได้เรียนรู้จากสนามแข่ง The Mexico City E-Prix มาฝากกัน

อุณหภูมิยางรถ

                อุณหภูมิของยางรถแข่งเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ในฤดูกาลแรกนี้อุณหภูมิของยางรถ BMW iFE.18 กลายเป็นปัญหาของที่วิศวกร BMW I Andretti Motosport ต้องขบคิดและหาทางแก้กันอย่างหนักเนื่องจากเลย์เอาท์ของสนามรูปแบบพิเศษในสนามแข่ง Mexico City  นั้น เป็นสนามแข่งแบบถาวร ยางมะตอยในสนามจึงมีอุณหภูมิสูงขึ้นเมื่อมีความร้อนมากขึ้น ส่งผลให้ยางล้อหลังด้านซ้ายของรถแข่ง BMW มีอุณหภูมิสูง ขึ้นตามไปด้วย

ลำดับของนักแข่ง

                การจัดลำดับก่อนหลังของนักแข่งมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเข้าเส้นชัย ซึ่งจากประสบการณ์ในสนามแรกที่ผ่านมาพบว่าการจัดอันดับของนักแข่งของกลุ่ม 1 และกลุ่ม 2 ยังไม่สามารถทำเวลาได้เร็วพอที่จะสามารถคว้าชัยชนะจากการแข่งขันได้ อีกทั้งในช่วงกลางของการแข่งขันนักแข่งยังเกิดอุบัติเหตุแต่ยังโชคดีที่รถกระเด็นออกไปทางด้านหลังของสนาม และยังโชคดีที่เป็นอุบัติเหตุในช่วงกลางของการแข่งขันซึ่งก่อให้เกิดอันตรายได้น้อยกว่าช่วงเริ่มต้นของการแข่งขันมาก

การจัดการพลังงาน

                ดังสุภาษิตของการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตที่ว่า “To finish first, you first to finish” ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนในการแข่งขัน The Mexico City E-Prix เนื่องจากรถแข่งจำนวนมากสูญเสียพลังงานไปอย่างมากในรอบสุดท้าย แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับทีม BMW ที่ต้องยกความดีความชอบในเรื่องของความแม่นยำในการจัดการพลังงานให้กับทีมวิศวกร ที่ทำการคำนวณพลังงานอย่างละเอียดในทุกเปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ BMW iFE.18 สามารถจัดการพลังงานได้อย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพและสมบูรณ์แบบ ถือเป็นสิ่งที่ทีม BMW ทำได้ดีมากในการแข่งขันฤดูกาลแรกนี้

                ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่าทีม BMW จะสามารถนำประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ไปปรับปรุงและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในสนามต่อ ๆ ไปได้หรือไม่อย่างไร ซึ่งนอกจากทีม BMW I Andretti Motosport แล้ว ยังเชื่อว่าในการลงสนามแข่งนัดแรก ๆ ของฤดูกาลปี 2019 จะเป็นบททดสอบของรถแข่งจากค่ายและทีมอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน