Michael Schumacher ตำนานนักแข่งแห่ง Formula 1

วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับราชานักแข่งรถสูตรหนึ่งหรือ Formula 1 ชาวเยอรมัน ผู้ที่เป็นนักแข่งในระดับตำนาน ที่นักพนันทั่วโลกรู้จักกันดี นั่นคือ “มิคาเอล ชูมัคเคอร์” (Michael Schumacher)

ชูมัคเกอร์ เคยเป็นนักแข่งรถที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกที่สร้างกำไรในการเดิมพันทุกรายการสูงมาก จุดเริ่มต้นในวัยเด็กของเขาคือการขับรถโกคาร์ทในสนามที่พ่อของเขาสร้างไว้ให้ในบ้านตั้งแต่อายุได้ 4 ขวบ การได้รับการสนับสนุนจากผู้เป็นพ่อ “โรลฟ์ ชูมัคเคอร์” ซึ่งเป็นผู้จัดการสนามแข่งรถคาร์ทท้องถิ่น ณ เมืองเคอร์เพน ประเทศเยอรมัน ทำให้เขาได้ร่วมการแข่งขันรถโกคาร์ทครั้งแรกตั้งแต่อายุ 12 ปี และยังสามารถชนะการแข่งขันทั้งในเยอรมนีและในทวีปยุโรปอีกหลายรายการ

จุดเริ่มต้นและไทม์ไลน์ของการเข้าสู่วงการแข่งรถ Formula 1 ของชูมัคเกอร์

ปี 1991 ชูมัคเคอร์ได้รับเลือกให้เข้าแข่งขันฟอร์มูลาวัน ในรายการ เบลเยียม กรังปรีซ์ แต่ยังเป็นตัวสำรองในทีมแข่งรถจอร์แดน รายการแรกของเขาก็ทำให้คนประหลาดใจด้วยการควอลิฟายได้เป็นอันดับ 7 ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ดีเยี่ยมสำหรับรายการแรกของเขา

ต่อมาประมาณปี 1992 เขาได้ย้ายทีมไปอยู่กับ เบเนตอง ฟอร์ด จนในที่สุดเขาก็คว้าแชมป์เป็นรายการแรกของคือ รายการเบลเยียมกรังปรีซ์และยังได้รับรางวัลนักแข่งเป็นอันดับที่ 3 ของรายการ

ปี 1996 ชูมัคเคอร์ได้ย้ายค่ายอีกครั้งด้วยการจากทีมเบเนตอง เพื่อไปร่วมทีมเฟอร์รารี ทั้งที่ผู้คนต่างมองว่าเป็นความเสี่ยงต่ออาชีพนักแข่งของเขา เพราะทีมเฟอร์รารีไม่ได้แชมป์ในรายการ F1 มานานมากแล้ว แต่ชูมัคเคอร์ก็สามารถพาทีมเฟอร์รารีได้แชมป์โลกติดต่อกันตั้งแต่ปี 2000-2004

แต่แล้วทุกอย่างต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากชูมัคเคอร์ประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงในระหว่างการแข่งกรังปรีซ์ที่ประเทศอังกฤษ เกิดจากรถของชูมัคเคอร์ได้ไถลออกนอกเส้นทางและเสียหลักพลิกคว่ำ ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถเข้าแข่งในอีก 6 สนามที่เหลือของฤดูกาลได้และถูกพักรักษาตัวเป็นเวลานาน แม้ว่าชูมัคเคอร์จะสามารถกลับมาแข่งขัน F1 อีกครั้ง แต่เขาก็ได้ประกาศถอนตัว แขวนพวงมาลัยไปในปี 2006

ปี 2010 มิคาเอล ชูมัคเคอร์สร้างความประหลาดใจด้วยการหวนสู่วงการ F1 อีกครั้ง แต่เป็นการร่วมทีมกับเมอร์เซเดส กรังปรีซ์ และยุติชีวิตการเป็นนักแข่งอีกครั้งในปี 2012

อย่างไรก็ตาม ในชีวิตการเป็นนักแข่งรถสูตรหนึ่งของมิคาเอล ชูมัคเคอร์ เขาก็ได้สร้างตำนานให้กับวงการนักแข่งรถ ด้วยการครองแชมป์โลก ถึง 7 ครั้ง ชนะในรายการแข่ง Formula 1 ถึง 91 ครั้ง สามารถขึ้นไปยืนบนแท่นโพเดียมได้บ่อยถึง 155 ครั้ง ! และยังได้กลายเป็นบุคคลที่เป็นที่ชื่นชอบและเป็นแรงบันดาลใจให้กับบรรดานักแข่งรถรุ่นใหม่อีกหลาย ๆ คน

อุบัติเหตุจากสกีที่ไม่คาดฝัน ทำให้ราชานักแข่งรถกลับกลายเป็นเจ้าชายนิทรา

เดือนธันวาคม ปี 2013 ชูมัคเคอร์ได้ออกเดินทางไปเล่นสกี ซึ่งเป็นหนึ่งในกีฬาที่เขาชื่นชอบมาก ในพื้นที่เล่นสกี เมริเบล ประเทศฝรั่งเศส โดยชูมัคเคอร์เริ่มต้นที่ความสูง 2,700 เมตร ระหว่างที่เขาสกีลงมา ชูมัคเคอร์เกิดเสียหลัก ทำให้เขาพุ่งไปยังแอ่งที่มีหิมะตกใหม่และศีรษะกระแทกกับโขดหินทำให้หมวกนิรภัยที่สวมใส่ชำรุด จนเขาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง ชูมัคเคอร์ได้รับการส่งตัวเพื่อรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน หลังการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนั้น เขาได้รับการผ่าตัดสมองและอยู่ในอาการที่น่าเป็นห่วง

ข่าวการเกิดอุบัติเหตุของชูมัคเคอร์ได้แพร่กระจายไปสู่บรรดาแฟน ๆ นักพนัน และผู้คนทั่วโลก รวมถึงสื่อมวลชนต่าง ๆ ที่คอยทำข่าว แม้ว่าในปัจจุบันชูมัคเคอร์จะสามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้านพักของตัวเองได้แล้ว แต่บรรดาแฟน ๆ ของเขาก็ยังเป็นห่วงและยังคอยติดตามเพื่อให้กำลังใจและหวังว่าอาการของเขาจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ในเร็ววัน

ยังไว้ใจในความเก๋า อัลฟา โรเมโอ ยันแล้วจะใช้ “ไรค์โคเน่น-จิโอวินาสซี่” ลงแข่งต่อปีหน้า

อัลฟา โรเมโอ ค่ายผู้ผลิตรถรายใหญ่ในศึกการแข่งขันรถสูตร 1 หรือเอฟวัน ได้ประกาศยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่าพวกเขาไม่ได้มีแผนที่จะทำการเปลี่ยนตัวผู้ขับแต่อย่างใด และยังจะใช้นักขับคู่เดิมอย่าง คิมี่ ไรค์โคเน่น กับอันโตนิโอ จิโอวินาซซี่ ลงทำการแข่งขันเช่นเดิมในฤดูกาลหน้า ซึ่งเท่ากับว่าพวกเขาจะใช้นักแข่งชุดเดิมเป็นปีที่สามติดต่อกัน

โดยคู่นี้ได้มาร่วมทีมกันมาตั้งแต่ปี 2019 ด้วยความหวังของทางค่ายเองที่อยากจะยกระดับพวกเขาขึ้นมาให้อยู่ในระดับแนวหน้าได้เสียที รวมไปถึงความหวังสูงอย่างตำแหน่งแชมป์ที่พวกเขาไม่เคยได้สัมผัสมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว จากการเข้าร่วมทำการแข่งขันมามากกว่าสี่สิบปี และก้าวแรกที่พวกเขามองไว้เป็นการพัฒนาในส่วนของตัวนักขับนั้นก็คือ การใช้ประสบการณ์ของนักขับที่เคยสัมผัสจุดสูงสุดนั้นมาแล้ว เพื่อเข้ามาถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับนักแข่งรุ่นใหม่ฝีมือดีที่จะเป็นกำลังหลักของพวกเขาในอนาคตนั่นเอง

และตัวเลือกที่พวกเขาจิ้มไปก็คือชื่อของคิมี่ ไรค์โคเน่น นักขับชาวฟินแลนด์ที่เคยก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์โลกมาแล้วเมื่อปี 2007 กับทางฝั่งของม้าลำพอง เฟอร์รารี่ ซึ่งในขณะที่ย้ายมานั้นถึงแม้ว่าเขาจะมีอายุถึง 39 ปี และหลายคนมองว่าเป็นช่วงปลายของอาชีพนักแข่งแล้ว แต่เขาก็ยังคงเกาะอยู่ในกลุ่มหัวแถวกับเฟอร์รารี่ ซึ่งมันเป็นการกลับมาอยู่กับม้าลำพองเป็นรอบที่สองของเจ้าตัว มันจึงทำให้อัลฟา โรเมโอเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีแล้วที่จะได้นักขับมากประสบการณ์อย่างไรค์โคเน่นเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงให้กับเด็กหนุ่มที่พวกเขาคาดหวังอย่างอันโตนีโอ จิโอวินาซซี่นั่นเอง

และถึงแม้ว่าผลงานของทั้งคู่ในการแข่งขันฤดูกาลนี้จะยังไม่ค่อยดีนัก เมื่อทั้งคู่เกาะกันอยู่ที่อันดับ 16-17 บนตารางคะแนนนักขับ โดยเก็บคะแนนได้เพียงแค่คนละ 4 คะแนนเท่านั้นเอง ซึ่งมันส่งผลให้คะแนนรวมของทีมบนตารางแชมเปี้ยนชิพของทีมโรงงานนั้น ยังคงจมอยู่ท้ายตารางที่อันดับ 8 เลยทีเดียว และมันก็มีเสียงแนะนำมาอย่างต่อเนื่องว่าให้ทางอัลฟา โรเมโอนั้นทำการเปลี่ยนตัวนักขับเสียที เพราะเชื่อว่าการทดแทนด้วยความสดของนักขับหนุ่ม ๆ อาจจะทำให้สถานการณ์ของพวกเขาบนตารางคะแนนดีขึ้นกว่านี้ก็ได้ แต่ทางอัลฟ่าเองก็ยังคงมั่นใจในแนวทางที่พวกเขาคิดและเลือกที่จะทำ นั่นคือการยืนยันว่าจะยังคงใช้นักขับคู่นี้ลงทำการแข่งขันต่อไปในฤดูกาลหน้า

เมื่อยืนยันเช่นนี้แล้วในฤดูกาลทั้งทางอัลฟา โรเมโอเองรวมไปถึงตัวนักขับทั้งคู่ คงจะต้องช่วยกันทำงานอย่างหนักเลยเพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าแนวคิดของพวกเขานั้นถูกต้อง โดยเฉพาะส่วนตัวของคิมี่ ไรค์โคเน่นเองนั้นด้วยศักดิ์ศรีระดับแชมป์โลกอย่างเขา มันต้องทำให้เห็นแล้วว่าเขาหมดไฟไปตามอายุอย่างที่เสียงวิจารณ์เขาว่าจริงหรือเปล่า

ของจริงหรือแค่เด็กเส้น โจทย์ใหญ่ที่ต้องก้าวข้าวไปให้ได้ของ อเล็กซ์ อัลบอน

ในยามที่คุณทำอะไรแล้วมันออกมาดี แน่นอนว่ามันย่อมจะตามมาด้วยเสียงชื่นชมเสมอ ในทางตรงกันข้ามเมื่อคุณทำผิดพลาดมันย่อมตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ย่อมจะมีให้เห็นในทุกแวดวง และในการแข่งขันรถสูตรหนึ่งเองก็เช่นกัน กรณีที่จะพูดถึงในเรื่องนี้ก็คือในส่วนของ อเล็กซ์ อัลบอน หรือ อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ นักแข่งรถลูกครึ่งไทยอังกฤษของทีมเร้ดบูลล์ เรซซิ่งนั่นเอง

อัลบอนนั้นถือเป็นนักขับชาวไทยคนแรกที่ได้ลงแข่งในศึกเอฟวันในรอบ 65 ปี ซึ่งตรงนี้มันทำให้เขาเป็นที่จับตามองอย่างมากอยู่แล้ว แต่สายตาที่หันมามองนั้นมันย่อมมีทั้งสายตาที่คอยชื่นชมและคอยจับผิด ดังนั้นเมื่อเขาทำผลงานได้ดีแฟนกีฬาความเร็วของเร้ดบูลล์รวมไปถึงชาวไทยก็ย่อมจะชื่นชมและคาดหวังในการก้าวไปข้างหน้าของเขา แต่ในวันที่เขาทำผลงานได้ไม่ดีนั้นมันก็จะมีเสียงนินทาตามมาอยู่แทบจะทุกครั้ง และประเด็นที่เสียงนินทาเหล่านั้นพูดถึงมันก็รุนแรงทีเดียวเพราะเขามักจะถูกมองว่าฝีมือไม่ถึง และการที่ยังคงรักษาเก้าอี้นักขับในทีมไว้ได้นั้นก็เพราะว่าเป็นคนไทย ที่มีเครื่องดื่มสัญชาติไทยถือหุ้นอยู่ในทีมเยอะ หรือพูดง่าย ๆ ว่าเขาก็แค่ “เด็กเส้น” เท่านั้นเอง

ซึ่งเมื่อดูจากผลงานของเขาที่ลงแข่งให้กับเร้ดบูลล์ เรซซิ่งสองปีที่ผ่านมานั้น ก็อยู่ในระดับที่ไม่ได้น่าเกลียดอะไร โดยในฤดูกาล 2019 ที่เป็นการลงแข่งฤดูกาลแรกของเขานั้นผลงานส่วนตัวของอัลบอนก็พาตัวเองจบที่อันดับ 8 ของตารางนักแข่งซึ่งก็นับว่าทำได้ไม่เลวสำหรับนักขับหน้าใหม่อย่างเขา และทีมเร้ดบูลล์ เรซซิ่งก็จบอันดับที่ 3 บนตารางทีมโรงงาน ส่วนในฤดูกาลนี้ผลงานของเขาก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกับเมื่อปีที่แล้ว ยังคงอยู่อันดับที่ 9 บนตารางนักแข่ง ในขณะที่อันดับของทีมบนตารางแชมเปี้ยนชิพนั้นขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 2 ซึ่งถึงแม้ว่าจะตามผู้นำอย่างเมอร์ซิเดสอยู่ห่างพอสมควร ก็นับว่าไม่น่าเกลียดเท่าไหร่หากมองว่านี่มันคือยุคทองของลูอิส แฮร์มิลตันและทีมเมอร์ซิเดสอยู่แล้ว แต่ถ้าหากจะให้ดีกว่านี้เขาก็ควรจะยกระดับตัวเองขึ้นมาให้ได้โดยเร็ว อย่างน้อย ๆ ก็เกาะคู่กันไปในระดับเดียวกันกับคู่หูอย่างแม็กซ์ เวอร์สแตพเพนให้ได้มากกว่านี้ เสียงวิจารณ์เหล่านั้นก็คงจะเงียบไป

คำว่าเด็กเส้นนั้นดูจะรุนแรงและเป็นการดูถูกกันอย่างมาก แต่มันก็คงจะห้ามสายตาที่มองเข้ามาตรงจุดนี้บางคนคิดว่าเป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้นทางเดียวที่จะปิดปากเสียงวิจารณ์แย่ ๆ แบบนี้ลงได้ก็มีแค่เพียงผลงานในสนามของอเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์เท่านั้น ที่จะทำให้คนเหล่านั้นได้เห็นว่าเขามาอยู่ตรงจุดนี้ได้เพราะอะไร เขาคงรู้อยู่แล้วว่าต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนที่จะไปถึงจุดนั้น และเราก็อยากให้เขารู้ว่าแฟนกีฬาชาวไทยและทีมเร้ดบูลล์ก็พร้อมจะเอาใจช่วยและอยู่ข้างเขาด้วยเช่นกัน

อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ คนไทยคนแรกใน F1

23 มีนาคม 1996 อัลบอน ถือกำเนิดขึ้นที่โรงพยาบาลพอร์ตแลนด์ ในลอนดอน คุณพ่อของเขาคืออดีตนักแข่งรถ ไนเจล อัลบอน ส่วนแม่ของเขา กัญญ์กมลเป็นชาวไทย อัลบอน เด็กลูกครึ่งไทยธรรมดาคนหนึ่งซึ่งได้เลือดนักขับจากพ่อ หลังจากเรียนประถมที่โรงเรียนในอิปสวิช เขาออกจากโรงเรียนเพื่อเริ่มต้นการเป็นนักขับอาชีพตามความฝันในสายเลือด ซึ่งฝันของเขานั้นเรียบง่ายและชัดเจน นั่นคือ การเป็นนักขับ F1

อัลบอนเริ่มต้นเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ที่อยากจะเป็นนักแข่งรถ นั่นคือโกคาร์ท และหลังจากเริ่มต้นในวัย 8 ขวบเขาก็เริ่มคว้าแชมป์อย่างต่อเนื่อง และไปถึงจุดสูงสุดในการคว้าแชมป์โกคาร์ททั้งแชมป์ยุโรปและแชมป์โลก ในคลาส KF3 และในวัย 16 ความฝันก็ใกล้เข้ามาอีกนิด เมื่อทีมเรดบูลคว้าตัวมาอยู่ในสังกัดในฐานะนักขับเยาวชนของทีม

6 ปี กับความฝันที่แสนยากเย็น

แต่การเปลี่ยนมาขับรถล้อเปิดเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และทำให้การปรับตัวนั้นแสนยากลำบาก เขาเก็บคะแนนไม่ได้เลยในการแข่งขัน ฟอร์มูล่า เรย์โนลด์ 2.0 กับทีมเอพิค เรซซิ่ง และนั่นทำให้สัญญาการเป็นนักขับเยาวชนของอัลบอนสั้นแค่ปีเดียว อัลบอนรู้สึกแย่แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อผลงานไม่ตามเป้าก็ต้องจากไป ปีต่อมาเขาได้รับโอกาสอีกครั้งกับทีม KTR ด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้นเขาทำผลงานได้ดีจนจบอันดับสาม จากนั้นจึงได้เลื่อนขึ้นไปขับ ฟอร์มูล่า 3 กับทีมซิกเนเจอร์ แม้จะมีแข่งไม่จบสนามอยู่บ้าง แต่ปีนั้นเขาขึ้นโพเดียมไป 4 ครั้ง และจบอันดับ 7

และด้วยผลงานนั้น ทีม ART กรังด์ปรีซ์ ดึงเขาไปร่วมทีมเพื่อแข่งรายการ GP3 ซึ่งเป็นครั้งแจ้งเกิดของเขา เพราะตลอดฤดูกาลเขาขับเคี่ยวกับชาร์ล เลอแคลร์ เพื่อนร่วมทีมที่มีดีกรีถึงอดีตเด็กฝึกของเฟอร์รารี่ได้อย่างสูสี จนพลาดแชมป์ไปนิดเดียวแค่สนามสุดท้ายเพราะแข่งไม่จบ แต่เพียงแค่นี้ก็เพียงพอให้ทีมดึงตัวเขาขึ้นไปแข่งในฟอร์มูล่า 2 ซึ่งเป็นเส้นทางสายตรงไปสู่ฟอร์มูล่า 1 แม้จะทำผลงานได้ดีแต่การขึ้นไปฟอร์มูล่า 1 ไม่ใช่เรื่องงาน มีเพียง 20 ที่นั่งเท่านั้นในแต่ละปี และสปอนเซอร์ก็ไม่ได้มีเงินมากพอจะดันเขาขึ้นไป โอกาสกำลังจะหลุดลอยไป จนทีมโตโรรอสโซ่ ทีมน้องของเรดบูลเห็นความสามารถจึงดึงไปร่วมทีม แต่ช่วงนั้นอัลบอนทำผลงานไม่ดีนักทีมจึงยังรอดูก่อน ยังไม่ส่งลงฟอร์มูล่า 1 แต่อัลบอนไม่อยากรออีกแล้ว เขาตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางไปขับฟอร์มูล่า อี ซึ่งเป็นรถไฟฟ้ากับทีมนิสสัน ความฝันการเป็นนักขับเอฟ 1 ดูจะหลุดลอยไปแล้ว

แต่แล้วเหตุการณ์ก็พลิกผัน เมื่อทีมเรดบูลดึงตัวนักขับของโตโรรอสโซ่ไป และนักขับมือสองก็ยังไม่เข้าตาผู้บริหาร หวยจึงมาออกที่อัลบอนอย่างน่าอัศจรรย์ เขาได้ขึ้นไปขับF1 ทั้งที่ยังไม่ได้ขับฟอร์มูล่า อี เลยด้วยซ้ำ

ประวัติศาสตร์เริ่มอีกครั้ง

เมื่อฤดูกาลเริ่มต้น อัลบอนได้ทำตามความฝันสำเร็จ แต่เขารู้ดีว่าถึงจะมาถึงฝันแล้วแต่หากผลงานไม่ดีสิ่งเหล่านี้ก็หลุดลอยไปได้ทุกเมื่อ ถึงตรงนี้อัลบอนได้เขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศเล็ก ๆ แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ว่าเป็นนักขับฟอร์มูล่า 1 ชาวไทยคนที่ 2 ในรอบ 70 ปี นับตั้งแต่ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ที่ทรงลงแข่งขันรถสูตรหนึ่งในช่วงทศวรรษ 1950

นักแข่งเอฟวัน แข่งเสร็จต้องชั่งน้ำหนักด้วยนะ นี่นักแข่งหรือนักมวย

ตามกฎของเอฟวันน้ำหนักรถและน้ำหนักคนรวมกันทั้งก่อนแข่งและหลังแข่งจะต้องไม่ต่ำกว่า 740 กิโลกรัม และน้ำหนักนักแข่งรวมน้ำหนักในค็อกพิทจะต้องไม่ต่ำกว่า 80 กิโลกรัมทั้งก่อนแข่งและหลังแข่ง ซึ่งหากน้ำหนักนักแข่งไม่ถึงจำเป็นต้องใส่ตัวถ่วงน้ำหนักเพิ่มเข้าไปให้ถึง ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันเรื่องน้ำหนักของนักขับ ซึ่งนักขับที่มีน้ำหนักน้อยย่อมได้เปรียบนักขับที่มีน้ำหนักเยอะ เพราะการแข่งรถที่มีความเร็วสูงมีการทำเวลาต่างกันระหว่างผู้แพ้และผู้ชนะเป็นระดับเสี้ยววินาที น้ำหนักน้อยลงสักเพียงแค่หนึ่งขีดย่อมมีผลต่อเวลา ดังนั้นจึงต้องกำหนดน้ำหนักต่ำสุดขึ้นมา และนักแข่งต้องควบคุมน้ำหนักให้ได้ไม่ต่ำกว่านั้น

แล้วทำไมต้องชั่งหลังแข่งอีกครั้ง

ในการแข่งขันรถฟอร์มูล่าหรือเอฟวัน ความแรงของรถอัตราเร่งของมันยามทะยานไปบนสนามแข่งสามารถสร้างแรงกดได้ถึงระดับ 5G แรงกด 1G เท่ากับ 9.8 เมตรต่อวินาที ในแรง 5G สามารถทำให้คนน้ำหนัก 60 กิโลกรัม ต้องแบกน้ำหนักตัวเองถึง 300 กิโลกรัมเวลาเร่งความเร็วถึง 5G และเวลาการแข่งขันในแต่ละครั้งยาวนานถึง 90 นาที แต่หมวกกันน็อคน้ำหนัก 1 กิโลกรัมเมื่อเร่งความเร็วถึงที่สุดมันอาจจะหนักถึง 7 กิโลกรัม นักแข่งต้องแบกน้ำหนักขนาดนั้นในสภาวะความเร็วและความเครียดถึง 90 นาที หัวใจของนักแข่งเต้นเร็วถึงจังหวะของนักวิ่งมาราธอน บางครั้งอาจสูงถึง 170 ครั้งต่อนาที ซึ่งเต้นเร็วขนาดนั้นถ้าไม่แข็งแรงพออาจจะล้มเหลวได้เลย

เมื่ออยู่ในภาวะที่หนักหน่วงขนาดนั้นประกอบกับความร้อนในห้องนักแข่ง มันอาจทำให้น้ำหนักของหนักแข่งน้อยลงระหว่างแข่งได้ถึง 5 กิโลกรัม ความได้เปรียบเสียเปรียบจึงเกิดขึ้น น้ำหนักของรถรวมนักแข่งอาจตกลงไปต่ำกว่าผู้จัดการแข่งขันกำหนด ดังนั้นทีมจึงมีหน้าที่ระวังและคอยทำน้ำหนักระหว่างการแข่งให้พอดีไม่อย่างนั้นอาจถูกตัดสิทธิในการแข่งได้ ซึ่งทางที่ปลอดภัยคือนักขับต้องทำน้ำหนักเผื่อไว้ก่อน แต่จะกินจนหนักมากไปก็ไม่ได้เพราะน้ำหนักก็มีผลกับความเร็ว

ฉะนั้นการเป็นนักขับก็ไม่ใช่เรื่องง่าย น้ำหนักต้องไม่มากไปไม่น้อยไป และต้องแข็งแรงในระดับที่เรียกว่ายอดมนุษย์เลยทีเดียว เพราะการอยู่ในแรงดันถึง 5G เป็นเวลานานนาน ทั้งต้องมีสมาธิตลอดเวลา อัตราเต้นของหัวใจมากขนาดนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติที่มนุษย์ธรรมดาจะทนได้ นักขับต้องฝึกฝนร่างกายมวลกล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงทนทานต่อแรงกดดันได้ตลอดเวลา

ความฟิตเท่านั้นคือคำตอบ                

สำหรับใครที่อยากเป็นนักแข่งอย่าคิดว่าแค่รถแรงก็ชนะแล้ว แค่รถแรงอย่างเดียวไม่พอคนขับก็ต้องฟิตถึงด้วย เพราะต้องใช้ร่างกายจิตใจและสมาธิ เพ่งลงไปในการขับทุกวินาที ทุกโค้งทุกเนินมีความหมาย พลาดนิดเดียวอาจลงไปนอนหงายท้องข้างถนน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ในสนามแข่งเท่านั้น บนถนนก็เช่นกัน ถ้าร่างกายไม่พร้อมอย่าคิดว่าจะโชคดีไปตลอดทาง

5 นักแข่งรถในดวงใจที่หลาย ๆ คนยังจดจำ..ทั้งไทยและต่างประเทศ

ต้องบอกเลยว่ากีฬาแข่งรถเป็นกีฬาที่หลาย ๆ คนหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเสน่ห์ของความเร็วและความแรงที่ทำให้คนดูลุ้นชนิดที่ว่านั่งไม่ติดเก้าอี้นั่นเอง ที่ทำให้กีฬารถแข่งครองใจคนทั้งโลกมาจนถึงปัจจุบัน แต่หากกล่าวถึงนักแข่งรถในดวงใจใครหลาย ๆ คนแล้วล่ะก็ ทุกคนก็คงจินตนาการกันไปหลาย ๆ ชื่อ วันนี้เราเลยขอรวมเอานักแข่งรถที่ยังอยู่ในดวงใจใครหลาย ๆ คน พร้อมแล้วมาดูกัน

1.มิคาเอล ชูมัคเกอร์

นักแข่งรถคนแรกที่จะไม่กล่าวถึงเลยคงเป็นไปไม่ได้อย่างชูมี เขามีผลงานที่โดดเด่นอย่างยิ่ง เพราะว่าเคยคว้าแชมป์ติดต่อกันถึง 5 สมัย จากผลงานนี้เองที่ทำให้เขาได้เป็นตำนานของนักแข่งรถบรรลือโลกเลยก็ว่าได้ แต่ทว่าเขากลับประสบอุบัติเหตุในสนามแข่งจนต้องพักฟื้นร่างกาย เมื่อกลับมาแข่งรถอีกครั้ง ฝีมือก็ไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว ทำให้เขาตัดสินใจวางมือจากการแข่งรถ สุดท้ายเขาประสบอุบัติเหตุในขณะเล่นสกีจนเป็นเจ้าชายนิทรา แม้จะฟื้นขึ้นมาได้แต่ก็ไม่สามารถกลับมาแข่งรถได้อีกครั้ง

2.รัฐภาคย์ วิไลโรจน์

หากเอ่ยถึงนักบิดชาวไทยที่คนไทยทุกคนยังจำเขาได้ก็คือ หนุ่มฟีมนั่นเอง โดยหนุ่มคนนี้เป็นคนบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เขาหลงใหลในกีฬามอเตอร์ไซค์แข่งมานานแล้ว ด้วยเหตุผลมาจากการที่ว่าพ่อของเขานั้นก็เป็นอดีตนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์ทางเรียบนั่นเอง  ซึ่งฟีมก็ประสบความสำเร็จในอาชีพนักแข่งรถ โดยได้แชมป์เวิลด์ซูเปอร์ไบค์ เมื่อปี พ.ศ. 2015 จัดเป็นอีกหนึ่งหนุ่มนักซิ่งที่ควรค่าแก่การจดจำ

3.อเล็กซ์ ฮวง

อีกหนึ่งหนุ่มที่แม้จะเพิ่งโด่งดังเมื่อไม่นานมานี้แต่ฝีไม้ลายมือในการซิ่งก็ไม่เป็นสองรองใคร อเล็กซ์ ฮวง ความน่าสนใจของหนุ่มคนนี้คือเติบโตในครอบครัวที่พ่อเป็นศัลยแพทย์ ไม่เหมือนนักซิ่งคนอื่นที่พ่อมักเป็นนักแข่งรถอยู่แล้ว แต่อเล็กซ์กลับหลงใหลในกีฬารถแข่งเป็นชีวิตจิตใจ โชคดีที่ทั้งพ่อและแม่ของเขาไม่ขัดขวางเส้นทางฝันของลูกรัก ตรงกันข้ามกลับให้การสนับสนุนเต็มที่ และเป้าหมายตอนนี้ของเขาก็คือการไปเป็นนักแข่งรถระดับโลกให้จงได้

และนี่ก็คือนักแข่งรถที่หลาย ๆ คนคงคุ้นเคย หรืออาจจะได้ยินชื่อกันมาบ้าง แน่นอนว่ากว่าจะมาเป็นนักแข่งรถชื่อดังที่ใคร ๆ ก็รู้จักได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย ตรงกันข้าม ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการที่รอคอยอยู่ การเป็นนักแข่งรถต้องฝึกหนัก ในระหว่างช่วงวัยรุ่นทั่วไปที่พวกเขาควรได้เล่นสนุก เขาก็เอาเวลามาทุ่มเทในการซ้อม ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่า สุดท้ายแล้ว ความพยายาม วิริยะของพวกเขา ได้นำชัยชนะมาให้ ส่งผลให้เขาได้กลายเป็นที่จดจำ ชื่อของพวกเขาเป็นชื่อของนักแข่งรถที่เมื่อเอ่ยปากไป ใคร ๆ ก็ร้องอ๋อ

ผู้หญิงกับการเป็นนักแข่งรถในประเทศไทย โอกาสที่คุณเอื้อมคว้าได้

หากพูดถึงอาชีพนักแข่งรถกับผู้หญิง เชื่อได้เลยว่าหลายคนคงจะขมวดคิ้วใส่ เพราะอาชีพนักแข่งรถ ดูเหมือนเป็นอาชีพสำหรับผู้ชายเสียมากกว่า แต่โลกยุคปัจจุบันก้าวไกลขึ้นมาก ผู้หญิงไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แต่ในเหย้าในเรือนอีกต่อไป แต่ว่าผู้หญิงก็มีศักยภาพมากพอไม่แพ้ผู้ชาย หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจกีฬาแข่งรถ บางทีโอกาสอาจจะรอให้คุณเอื้อมคว้าอยู่ก็ได้

ดาราหญิงกับการแข่งรถ

ไม่น่าเชื่อว่ากีฬาที่ดูแมน ๆ แบบกีฬาแข่งรถมอเตอร์สปอร์ตนี้ก็มีดาราสาวของไทยหลายคน ร่วมวงการแข่งขันด้วย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าแม่แฟชั่น คุณแม่ของสายฟ้า – พายุ อย่างแม่ชม ชมพู่ อารยา ที่ฝีมือของการแข่งรถเธอนั้นไม่เบาเลยทีเดียว นอกจากนี้ก็ยังมีใหม่ สุคนธวา แอริน ยุคตะทัต อิม เฟี้ยวฟ้าว นาตาลี เดวิส กระแต ศุภักสร นักแสดงหญิงที่เราเห็นโลดแล่นในวงการแข่งรถก็เพราะพวกเธอหลงใหลในเสน่ห์ของความเร็วไร้ขีดจำกัด และเธอเลือกที่จะเล่นกีฬาท้าทายความเร็วอย่างกีฬารถแข่ง แน่นอนว่าจากลุคสาวนักแข่งรถแบบนี้เอง ที่ทำให้เธอมีมาดที่เท่กว่าเดิม

ผู้หญิงธรรมดา…กับการก้าวเข้าสู่วงการแข่งรถ

แม้จะมีหลายเสียงบอกกันว่า การแข่งรถของไทยนั้น หากจะเข้าวงการนี้ได้ จะต้องอาศัยเงินเป็นหลัก เพราะแพงตั้งแต่ค่าอุปกรณ์นิรภัย ค่ารถ ค่าจิปาถะอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งหากใครอยากเป็นนักแข่งรถหญิง เจอรายจ่ายเข้าไปอาจมีถอยก่อนแน่นอน แต่เชื่อเถอะว่าแท้ที่จริงแล้วการจะก้าวเข้าสู่เส้นทางนักแข่งรถไม่ได้ยากเย็นขนาดนั้น ขอแค่คุณมีใจที่อยากจะท้าทายความเร็ว หมั่นเก็บเงินเพื่อซื้ออุปกรณ์ และสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการขับแข่งรถ อย่าลืมมองหาเพื่อนฝูงหรือผู้มีความรู้ที่อยู่ในวงการแข่งรถ รับรองได้เลยว่าไม่ช้า คุณก็จะสามารถเป็นนักแข่งอาชีพได้แน่นอน

นักแข่งรถหญิงไทย มีสิทธิ์ไปไกลได้หรือไม่

ต้องบอกเลยว่าแม้นักแข่งรถหญิงไทยจะไม่ได้มีมากมายเท่ากับนักแข่งรถชาย แต่โอกาสเติบโตก้าวหน้าก็มีไม่แพ้กัน หากว่าคุณได้เริ่มต้นในอาชีพนักแข่งรถหญิงแล้ว ให้ใช้ความพยายามและมุ่งมั่น เข้าสู่สนามแข่งขันแบบไม่ย่อท้อ คุณก็จะเป็นที่รู้จักได้อย่างแน่นอนเลยทีเดียว

เชื่อได้เลยว่าสาว ๆ หลายคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้แล้ว คงอยากเป็นนักแข่งรถกันบ้าง เสน่ห์ของกีฬารถแข่งไม่แพ้ใคร ไม่ว่าใครได้ลองก็ต่างหลงใหลในกีฬาท้าความเร็วด้วยกันทั้งสิ้น แต่จะมีกี่คนที่ก้าวไปสู่จุดหมายที่ตนเองหวังเอาไว้ หากคุณมีเป้าหมายเป็นนักแข่งรถ ก็ลองศึกษานับตั้งแต่วันนี้ หากยังไม่มีทุนทรัพย์มากเพียงพอ ก็อาจจะเลือกอ่านหนังสือ อ่านข่าวหรือดูเว็บไซต์รถแข่งไปก่อนก็ได้ สะสมความรู้ไว้แต่เนิ่น ๆ จะทำให้คุณได้เปรียบคนอื่นแน่นอน

มิคาเอล ชูมัคเกอร์ ตำนานของนักแข่งรถ

หากเอ่ยถึงนักแข่งรถที่เป็นตำนานของโลก ที่พูดชื่อขึ้นมาใครต่อใครก็ต้องรู้จัก หนึ่งในชื่อนั้นต้องมีชื่อของชูมี หรือมิคาเอล ชูมัคเกอร์อย่างแน่นอน เส้นทางการเป็นนักแข่งรถของเขาแม้ไม่ได้เริ่มต้นด้วยกลีบกุหลาบแต่ทว่าใช้ความพยายามอย่างน่าดู แม้ปัจจุบันเขาจะยังป่วยอยู่ คนทั่วโลกก็ยังคงเป็นห่วงเขาและจดจำเขาไว้ในตำนานนักแข่งรถ วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับมิคาเอล ชูมัคเกอร์ให้มากขึ้น

มิคาเอล ชูมัคเกอร์กับเส้นทางนักแข่งรถที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

นักแข่งรถในตำนานคนนี้ เริ่มต้นเส้นทางการเป็นนักแข่งรถในวัย 12 ปี เริ่มจากการเข้าร่วมการแข่งรถคาร์ต แต่ในวัย 12 ปีนั้นเขาไม่มีใบขับขี่ แต่ด้วยความพยายาม ไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค ก็เลยทำให้เขาไปต่อใบขับขี่ที่ประเทศลักแซมเบิร์ก และที่น่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือ ปีถัดมาเขาสามารถเป็นแชมป์รถคาร์ตได้ ด้วยความสนใจในเรื่องรถเป็นพิเศษ เขาจึงได้เดินไปตามเส้นทางการแข่งรถ และได้เป็นแชมป์ของรถ F3 เมื่อปีคริสตศักราช 1990 จนกระทั่งฝึกฝนฝีมือจนกลายเป็นนักแข่งรถชื่อดังก้องโลกและเป็นตำนานอย่างทุกวันนี้

อุบัติเหตุที่พลิกผันชีวิต

ในชีวิตของมิคาเอล ชูมัคเกอร์นั้นเจออุบัติเหตุสองครั้งใหญ่ ๆ และสองครั้งนั้นก็ทำให้ชีวิตของเขาพลิกผันไปมากเลยทีเดียว อุบัติเหตุแรกเกิดในระหว่างการแข่งขันที่ประเทศอังกฤษ โดยรถของเขาได้พลิกคว่ำ ทำให้เขาบาดเจ็บจากกระดูกหน้าแข้งและบริเวณน่องหัก ต้องพักฟื้นร่างกายอย่างยาวนาน จนในที่สุดเขาตัดสินใจเลิกแข่งขันไปในปี 2006 ทว่าคงเป็นมนต์เสน่ห์ของรถแข่งที่ทำให้เขาตัดไม่ขาด ในปี 2010 เขาตัดสินใจกลับมาเข้าสังกัดนักแข่งรถของเมอร์เซเดสอีกครั้ง แต่ทว่าการกลับมาครั้งนี้เขาสร้างผลงานได้ไม่ดี สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจออกจากวงการแบบถาวร

อุบัติเหตุครั้งที่สองที่พลิกชีวิตเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือก็คืออุบัติเหตุจากการเล่นสกี จนศีรษะของเขาบาดเจ็บเพราะกระแทกโขดหิน จากอุบัติเหตุครั้งนี้ได้ทำให้เขากลายเป็นเจ้าชายนิทรา ที่น่าแปลกใจก็คือครอบครัวของเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะปิดข่าวว่าอาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง ทั้ง ๆ ที่ VWIN และคนทั้งโลกยังรักและเอาใจช่วยเขา ปรารถนาจะเห็นเขากลับมาใช้ชีวิตดังเดิมอีกครั้ง

สำหรับแฟนรถแข่งคนใดที่ยังคิดถึงเขาอยู่ และอยากจะรู้เรื่องราวของชีวิตเขาให้มากกว่านี้ ปลายปี 2019 มีภาพยนตร์สารคดีของเขาที่ชื่อว่า Schumacher แน่นอนว่าหากใครยังคิดถึง ก็จะได้ชมชีวิตเขาได้อย่างเต็มอิ่มและจุใจเลยทีเดียว แม้ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเห็นเขากลับมาโลดแล่นบนสนามรถแข่งอีกครั้งหรือไม่ แต่สิ่งที่คนทั้งโลกทำได้ดีที่สุดก็คือ เอาใจช่วยให้ราชานักแข่งรถคนนี้กลับมามีสุขภาพที่ดีดังเดิม